ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ อังกฤษและยุโรป ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าต่อเนื่อง เพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% เมื่อวันพุธที่ผ่านมา และชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed-funds rate) มีแนวโน้มแตะระดับสูงกว่า 5% ในปีหน้า ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ลงมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ รายงานว่า ทางกระทรวงจะดำเนินการซื้อกลับน้ำมัน 3 ล้านบาร์เรล สำหรับคลังสำรองยุทธศาสตร์ (SPR) หลังมีการปล่อยจากคลังเพื่อช่วยบรรเทาภาวะอุปทานน้ำมันโลกตึงตัวในปีนี้ โดยกำหนดการส่งมอบน้ำมันจะมีขึ้นในเดือน ก.พ. ปีหน้า
Baker Hughes รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 16 ธ.ค. ปรับลดลง 5 แท่นมาอยู่ที่ระดับ 620 แท่น นับเป็นการลดลงสูงสุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 65
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ รายงานปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังประจำวันที่ 9 ธ.ค. ปรับเพิ่มขึ้นราว 4.5 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับราว 224 ล้านบาร์เรล นับเป็นการตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 4 เดือน
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จากความกังวลจากปริมาณการส่งออกจากจีนที่มากขึ้น อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังที่สิงคโปร์ ณ วันที่ 14 ธ.ค. ปรับลดลง 1.6% อยู่ที่ระดับ 6.95 ล้านบาร์เรล
ข่าวเด่น