หุ้นทอง
บอร์ด PROS อนุมัติลดทุน-เพิ่มทุนจดทะเบียน รองรับออก PROS-W1 ชงผู้ถือหุ้นไฟเขียว 21 เม.ย.นี้ ตั้งธงรายได้ปี 66 โต 10%


พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง (PROS) บอร์ดอนุมัติลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จากจำนวน 297,000,000 บาท เป็น 274,356,000 บาท และออกวอแรนท์ PROS-W1 จำนวนไม่เกิน 274,356,000 หน่วย จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม สัดส่วน 2 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยของใบสำคัญแสดงสิทธิ และเพิ่มทุนจดทะเบียน 274,356,000 บาท เป็น 411,534,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 274,356,000 หุ้น รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นไฟเขียว วันที่ 21 เม.ย. 66 นี้ วัตถุประสงค์เพื่อใช้สำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินในการขยายธุรกิจเดิมของบริษัทในอนาคต เปิดแผนปี 2566 ตั้งธงรายได้โต 10% มีแผนประมูลงานใหม่ๆ อีกกว่า 1,500 ล้านบาท ชูกลยุทธ์การเติบโตมุ่งเน้นกลยุทธ์การกระจายกลุ่มลูกค้า และการเลือกรับงานในกลุ่มลูกค้าเดิมที่เป็นงานระยะสั้นเพราะว่าได้เงินเร็ว พร้อมกางแผนในอีก 3 ปีข้างหน้า มุ่งสู่ธุรกิจงานพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจด้านเทคโนโลยี และธุรกิจด้านสุขภาพ เข้ามาเสริมทัพธุรกิจหลัก

 
นายพงศ์เทพ รัตนแสงสรวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PROS ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร เปิดเผยว่า ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จากจำนวน 297,000,000 บาท เป็น 274,356,000 บาท โดยวิธีการตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 45,288,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

รวมทั้งอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 (PROS-W1) จำนวนไม่เกิน 274,356,000 หน่วย จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วนการจัดสรรเท่ากับหุ้นสามัญเดิมจำนวน 2 หุ้น ต่อ 1 หน่วยของใบสำคัญแสดงสิทธิ กรณีมีเศษของใบสำคัญแสดงสิทธิเหลือจากการคำนวณตามอัตราส่วนการจัดสรรดังกล่าว ให้ปัดเศษดังกล่าวทิ้งทั้งจำนวน

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินในการขยายธุรกิจเดิมของบริษัทในอนาคต กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ (Record Date) วันที่ 2 พฤษภาคม 2566

นอกจากนี้ ได้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จากทุนจดทะเบียน 274,356,000 บาท เป็น 411,534,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 274,356,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ

ทั้งนี้ เตรียมเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่ออนุมัติ โดยการประชุมจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 เวลา 14.00 น.ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) เพียงรูปแบบเดียวเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้ไฟเขียวอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวนไม่เกิน 54,000,000 หุ้น โดยจัดสรรเสนอขายในคราวเดียวกันหรือแบ่งเป็นส่วน ๆ และเสนอขายเป็นคราว ๆ ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) ตามแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) นั้น และมีมติอนุมัติการจัดสรรและเสนอขาย

หุ้นสามัญ เพิ่มทุนจำนวน 8,712,000 หุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด PP จำนวน 4 ราย วัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อเสริมสภาพคล่องและส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯแข็งแกร่งและมั่นคงมากยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมการลงทุนหรือขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการระดมทุนในกรณีที่บริษัทฯ มีความจำเป็นจะต้องใช้เงินเพิ่มทุน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทฯ ตลอดจนสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวมากขึ้น

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 2565 มีรายได้จากการก่อสร้างและงานบริการรวมจำนวน 1,349.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 319.53 ล้านบาท หรือ 31.03% จากปีก่อน บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 132.48 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 จำนวน 169.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราลดลง 456.81% สาเหตุจากบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจากผลกระทบของราคาวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก และการขาดแคลนแรงงานในช่วงที่ผ่านมา

โดยแผนธุรกิจปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% จากปีก่อน โดยกลยุทธ์การเติบโตยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์การกระจายกลุ่มลูกค้า และการเลือกรับงานในกลุ่มลูกค้าเดิมที่เป็นงานระยะสั้นเพราะว่าได้เงินเร็ว และสามารถควบคุมต้นทุนจากความผันผวนของราคาสินค้าได้ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ราว 1,200 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมประมูลงานใหม่ ๆ อีกกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อเสริมแกร่งรายได้

“สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน โดยมองว่าหลังเปิดประเทศตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ซึ่งภาคเอกชนเริ่มทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มห้างสรรพสินค้าและค้าปลีก กลุ่มคอนโดมิเนียม ตลอดจนโรงงานและอาคารคลังสินค้า ที่เลื่อนแผนมาจากปี 2565 เชื่อว่าหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย จะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินกิจการของบริษัท โดย PROS พร้อมประมูลงานใหม่ ๆ ดังกล่าวเพื่อเสริมพอร์ตรายได้ และอาจมีความร่วมมือกับพันธมิตรในการประมูลงานภาครัฐ” นายพงศ์เทพ กล่าว

“ปัจจุบันบริษัทประกอบธุรกิจหลักด้านรับเหมางานวิศวกรรมทั้งงานระบบและงานก่อสร้าง ซึ่งอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า ธุรกิจด้านการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยและพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจด้านเทคโนโลยี และธุรกิจด้านสุขภาพ จะเข้ามาเสริมทัพธุรกิจหลัก โดยธุรกิจด้านเทคโนโลยีจะขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้วยการผนึกกับพาร์ทเนอร์ ซึ่งมีการเสนอโปรเจกต์ใหม่เข้ามาเป็นระยะ ๆ ซึ่งเรามองว่าเราเป็นงานระบบ เราเป็นวิศวกรรม สิ่งที่ใกล้เคียงกันก็คืองานที่ใช้องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อให้มีประสิทธิภาพ นั่นหมายถึงการเอาเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมมาเสริม ไม่ว่าจะเป็นงาน Energy Efficiency งาน Smart Technology” นายพงศ์เทพ กล่าว

โดยธุรกิจสถานีไฟฟ้าย่อยและพลังงานหมุนเวียน หลัก ๆ ดำเนินการผ่านบริษัทย่อยคือ พรอสเน็กซ์ ซึ่งปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยและระบบพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ (Solar roof) ขณะที่ธุรกิจด้านเทคโนโลยีอยู่ระหว่างเจรจาเรื่องของการบริหารจัดการพลังงานกับพันธมิตร การจัดหาอุปกรณ์งานระบบผ่านบริษัทร่วมลงทุน และธุรกิจด้านสุขภาพที่ลงทุนในโรงพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งมีแผนงานแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ ทั้งหมดเป็นแผนธุรกิจที่ PROS จะดำเนินการต่อไปเพื่อเสริมแกร่งรายได้ในอนาคตให้เติบโตอย่างยั่งยืน

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 28 ก.พ. 2566 เวลา : 15:47:08
27-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 27, 2024, 9:22 am