SET ยังได้รับปัจจัยกดดันจากทิศทาง fund flow ไหลออก โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าเหนือระดับ 35.00 บาท อ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือน กดดันดัชนี โดยล่าสุดลงมาเคลื่อนไหวบริเวณแนวรับ 1620 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1610 จุด ส่วนกรอบบนอยู่ที่แนวต้าน 1628 และ 1636 จุด
ประเด็นสำคัญ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ ก.พ. โดย CB ลดลงสวนทางที่คาด ขณะที่ Bond Yield 10 ปีพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือนใกล้ 4.0%
รัสเซียพร้อมเจรจาสันติภาพแต่ไม่สละ 4 ดินแดนที่ผนวกไป ด้านยูเครนจะเจรจาเมื่อรัสเซียถอนทหารจากยูเครนและ 4 แคว้นรวมคาบสมุทรไครเมีย
IEA คาดอุปสงค์น้ำมันในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9 แสนบาร์เรล/วัน
ธปท. คาด ศก.ไทยปีนี้สามารถโตได้ 3-4% แรงส่งจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ม.ค. 66 ขยายตัว 6.61%MoM จากการขยายตัวของกิจกรรมทาง ศก. ใน ปท. และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น
อุตสาหกรรมโฆษณาได้รับอานิสงส์ความชัดเจนการเลือกตั้ง พ.ค. 66 คาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 1 หมื่นลบ. กระตุ้นอุปสงค์ใน ปท. ช่วง เม.ย.-พ.ค.
ครม. เห็นชอบวงเงิน 6.5 หมื่นลบ. เติมเงินในบัตรสวัสดิการฯ นอกจากนี้เห็นชอบให้ กฟผ.ก่อสร้างโครงการระบบเคเบิลใต้ทะเล อ. เกาะสมุย วงเงินรวม 1.12 หมื่นลบ. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งพลังงานไฟฟ้า
ม.หอการค้าไทย คาดยอดใช้จ่ายวันมาฆบูชาปีนี้ แม้กลับมาขยายตัวในรอบ 3 ปี แต่อัตราโตยังต่ำเพียง 5% เงินสะพัด 3 พันลบ. เพราะ ปชช. กังวลต่อภาวะ ศก. และค่าครองชีพทรงตัวสูง
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Down โดยหลังสิ้นสุดการประกาศผลประกอบการ 4Q65 แล้ว คาดตลาดจะกลับไปโฟกัสเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น ซึ่งน่าจะยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจึงยังคงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ยังอยู่ระหว่างรอปัจจัยหนุนใหม่ และจะกลับมาโฟกัสเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้นหลังสิ้นสุดประกาศงบปี 2565 ดังนั้นจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเน้นรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ไม่ไล่ราคา ดังนี้
1) หุ้นที่คาดผลบวกเชิงจิตวิทยาและอานิสงส์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเลือกตั้ง เลือก กลุ่มสื่อ BEC MAJOR และกลุ่มค้าปลีก CPN HMPRO
2) หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี โดยเน้นจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป คาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) ปี 65 สูงเกิน 4% และปี 66 คาด Div. Yield ดีขึ้นหรือใกล้เคียงเดิม อีกทั้งปี 66 ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% เลือก KTB KKP และ AP
ขณะที่ช่วงสั้นหุ้นแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุน สำหรับ
1) หุ้นที่คาดเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่ AOT KBANK PTTEP EA TIDLOR
2) หุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 คาดยังหดตัวต่อ YoY และ QoQ ได้แก่ GFPT TCAP BTS ASP MST
Daily focus
CRC 4Q65 กำไรดีเกินคาด จากอัตรากำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรสูงกว่าคาด ขณะที่กำไร 1Q66 คาดจะเติบโต YoY จากยอดขายปลีก รายได้จากการให้เช่า และมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ส่วนทั้งปี 2566 คาดกำไรเติบโตต่อ 23.5%YoY
AH 4Q65 กำไรดีเกินคาด จากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง ขณะที่ปี 2566 คาดกำไรปกติโตต่อ 8%YoY และมองผลตอบแทนดูน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง เนื่องจากปัจจุบันเทรดที่ PER 66F ที่ 5.6x หลังราคาหุ้นปรับลดลง 16% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ข่าวเด่น