การปรับลงมาอย่างต่อเนื่อง เข้าใกล้แนวรับจิตวิทยาบริเวณ 1600 จุด ขณะที่สัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดผ่อนคลาย หลังความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดเมื่อคืน รวมถึงค่าเงินบาทที่ชะลอการอ่อนค่า ช่วยชะลอ fund flow ไหลออก ทำให้ติดตามบริเวณ 1600 จุด เพื่อลุ้นฟื้นตัว ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1625-1630 จุด หากผ่านได้ จะเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น
ประเด็นสำคัญ
สหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วลดลงมาที่ 1.9 แสนราย สวนทางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.95 แสนราย
ราฟาเอล บอสติก ประธาน Fed แอตแลนตา ระบุ Fed ขึ้น ด.บ. 0.25% เหมาะสมแล้ว ช่วยลดผลกระทบ ศก.จากการขึ้น ด.บ.เชิงรุกที่ผ่านมา
พาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออก ม.ค. หดตัว 4.5%YoY หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน ต่ำสุดรอบ 23 เดือน ขณะที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 5.5% ขาดดุลการค้าสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยคาด 2Q66 ส่งออกเริ่มฟื้น คงเป้าทั้งปีโต 1-2%
กบน.มีมติคงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 34 บ./ลิตร ในสัปดาห์แรกของ มี.ค. 66 จากราคาตลาดโลกผันผวนจากการเปิด ปท. ของจีน ส่งผลให้การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นและกังวลการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed
สภาพัฒน์ระบุ 3Q65 หนี้ครัวเรือนเพิ่มครั้งแรกรอบ 5 ไตรมาส อยู่ที่ 86.8% ของ GDP ขณะที่ NPL เพิ่มขึ้นมาที่ 1 ล้านลบ. จับตาหนี้บัตรเครดิต-รถยนต์โตต่อเนื่อง
ก.คลังเลื่อนเก็บภาษีขายหุ้นไม่มีกำหนด โดย สนง. เลขา ครม. ส่งคืนร่าง ก.ม. กลับมา เนื่องจากสภาตลาดทุนไทยส่งหนังสือคัดค้าน โดยหลังจากนี้จะให้ สศค. วิเคราะห์แนวทางจัดเก็บอีกรอบ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Down โดยหลังสิ้นสุดการประกาศผลประกอบการ 4Q65 แล้ว คาดตลาดจะกลับไปโฟกัสเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น ซึ่งน่าจะยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจึงยังคงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ยังอยู่ระหว่างรอปัจจัยหนุนใหม่ และจะกลับมาโฟกัสเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้นหลังสิ้นสุดประกาศงบปี 2565 ดังนั้นจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเน้นรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ไม่ไล่ราคา ดังนี้
1) หุ้นที่คาดผลบวกเชิงจิตวิทยาและอานิสงส์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเลือกตั้ง เลือก กลุ่มสื่อ BEC MAJOR และกลุ่มค้าปลีก CPN HMPRO
2) หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี โดยเน้นจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป คาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) ปี 65 สูงเกิน 4% และปี 66 คาด Div. Yield ดีขึ้นหรือใกล้เคียงเดิม อีกทั้งปี 66 ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% เลือก KTB KKP และ AP
ขณะที่ช่วงสั้นหุ้นแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุน สำหรับ
1) หุ้นที่คาดเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่ AOT KBANK PTTEP EA TIDLOR
2) หุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 คาดยังหดตัวต่อ YoY และ QoQ ได้แก่ GFPT TCAP BTS ASP MST
Daily focus
HMPRO ตั้งเป้ายอดขายปี 2566 เติบโต YoY หนุนจาก SSS และการขยายสาขาเชิงรุกมากขึ้น ตั้งเป้า EBIT margin ที่ดีขึ้นจากการมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น คาดผลประกอบการ1Q66 เติบโต YoY จาก SSS เติบโต รายได้ค่าเช่าฟื้นตัว และมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น แต่ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล
GULF แนวโน้มกำไรยังเติบโตโดดเด่นจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะทยอยเปิดดำเนินการ บวกกับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและ INTUCH ที่มีเสถียรภาพ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 7-8 GW ใน 10 ปีข้างหน้า
ข่าวเด่น