บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) ประกาศเดินเกมรุก บุกการลงทุน ทั้งใน-ต่างประเทศ พร้อมดึงโซลูชั่นใหม่ๆ ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ให้ได้ 300 MW ล่าสุด ผ่านการคัดเลือกทางเทคนิคโครงการ Feed-in Tariff (FiT) 5 โครงการ ลุ้นผลตัดสินในเดือนมี.ค.นี้
นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) เปิดเผยถึงการขยายธุรกิจในปี 2566 ว่า บริษัทฯเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจการลงทุนผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างยั่นยืน โดยมุ่งเน้นต่อยอดธุรกิจ ภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งในประเทศและประเทศเวียดนาม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ รวม 5 ปี (2566 - 2570) ที่ 27,000 ล้านบาท พร้อมทั้ง ตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ไว้ที่ 18,500 ล้านบาท
สำหรับแผนการลงทุนดังกล่าว จะมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการลงทุน เพื่อขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากขยะอุตสาหกรรม และพลังงานประเภทอื่น ๆ โดยตั้งเป้ายอดเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสะสมเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์
ล่าสุด บริษัทฯ ได้เข้าร่วมเสนอชื่อเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งเปิดรับซื้อโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยผ่านการคัดเลือกด้านเทคนิคจำนวน 5 โครงการ คาดว่าจะทราบผลการตัดสินรอบสุดท้ายภายในเดือนมีนาคมนี้
“WHAUP มุ่งลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมโซลูชั่นต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสินค้า และบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งลูกค้า ชุมชน และสังคม อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) จาก Wastewater Reclamation หรือการนำน้ำเสียที่บำบัดแล้วมาใช้ใหม่ ช่วยให้ลูกค้ามีน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงใช้ในราคาที่ถูกลง และลดปริมาณน้ำเสียที่จะถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ สอดคล้องกับเจตนารมย์ของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล”
ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 2565 มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 2,790 ล้านบาท และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) 448 ล้านบาท ลดลง 8% และ 48% ตามลำดับจากปีก่อน โดยรายได้รวมจากธุรกิจจำหน่ายน้ำและไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12 จากปีก่อน แต่บริษัทได้รับผลกระทบทางลบจากต้นทุนพลังงานทั้งก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า SPP และ IPP ลดลง ในขณะที่มีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 454 ล้านบาท ลดลง 38% จากปีก่อน
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้จ่ายปันรวมสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 ที่ 0.16 บาทต่อหุ้น โดยเป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้วจำนวน 0.06 บาทต่อหุ้น และเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.10 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 เมษายน 2566 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการสะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงิน และการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสม่ำเสมอของธุรกิจ
ข่าวเด่น