คาดดัชนีปรับลง โดยได้รับปัจจัยกดดันหลังถ้อยแถลงของ Powell ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หนุนดอลลาร์แข็งค่า และบาทกลับมาอ่อนค่าเป็นปัจจัยลบต่อทิศทาง fund flow ให้ไหลออกต่อ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1607 และ 1600 จุด ตามลำดับ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1625-1630 จุด
ประเด็นสำคัญ
ปธ. Fed ส่งสัญญาณขึ้น ด.บ. แรงกว่าคาด ระบุ ศก. สหรัฐแข็งแกร่งกว่าคาด หากจำเป็นต้องคุมเข้มนโยบายการเงินให้เร็วขึ้น Fed ก็จะเพิ่มความเร็วในการปรับขึ้น ด.บ. แต่ไม่ได้ระบุว่า ด.บ. สูงสุดจะอยู่ที่ระดับใด
เยอรมนีมีแผนที่จะแบนส่วนประกอบ 5G บางชนิดจากจีนที่ผลิตโดยบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี และบริษัทแซดทีอี คอร์ปอเรชัน
ยอดส่งออกจีน ม.ค.-ก.พ. ลดลง 6.8%YoY ยอดนำเข้าลดลง 10.2%YoY ได้รับผลกระทบ ศก. โลกชะลอตัว รวมทั้งอุปสงค์ใน ปท. ที่อ่อนแอลง
พาณิชย์รายงานเงินเฟ้อทั่วไป ก.พ. +3.79%YoY ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ต่ำสุดในรอบ 13 เดือน ขณะที่ มี.ค. คาดเงินเฟ้อชะลอตัวลงต่อ ส่วน 2H66 มีโอกาสที่เงินเฟ้อลดลงใกล้ 0% จากฐานสูงในปีก่อน
สรท.คงคาดการณ์ส่งออกปีนี้โต 1-2% โดยคาด ม.ค. เป็นจุดต่ำสุดแล้ว และจะทยอยฟื้นตัวใน 2H66
ครม.เห็นชอบยกเว้นเก็บภาษีลงทุนโทเคนดิจิทัล และเห็นชอบ ธปท.กำกับธุรกิจลีสซิ่ง หลังธุรกรรมโตแต่ยังไม่มีหน่วยงานกำกับ นอกจากนี้ยังเห็นชอบขยายเวลายกเว้นจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซล-น้ำมันเตาที่นำไปผลิตไฟฟ้าต่ออีก 6 เดือน พร้อมอนุมัติ 3,191 ลบ. ให้ กฟน. และ กฟภ. สำหรับส่วนลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟบ้านไม่เกิน 300 หน่วย
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideway Down โดยตลาดจะกลับไปโฟกัสที่เศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น ซึ่งน่าจะยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ และจะกลับไปโฟกัสที่เศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเน้นรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ดังนี้
1) หุ้นที่น่าสนใจลงทุน หาก SET หลุด 1600 โดยในแง่พื้นฐานธุรกิจยังแข็งแกร่ง, Valuation มี upside น่าสนใจเกิน 20% อีกทั้งราคาหุ้นปรับลงแรง YTD และแย่กว่า SET เลือก PTTEP HMPRO CPALL SCGP GULF
2) หุ้นที่คาดผลบวกเชิงจิตวิทยาและอานิสงส์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเลือกตั้ง เลือก กลุ่มสื่อ BEC MAJOR และกลุ่มค้าปลีก CPN
3) หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี โดยเน้นจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป คาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) ปี 65 สูงเกิน 4% และปี 66 คาด Div. Yield ดีขึ้นหรือใกล้เคียงเดิม อีกทั้งปี 66 ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% เลือก KTB และ AP
ขณะที่ช่วงสั้นหุ้นแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงราคาปรับตัวลงหรือ Underperform ตลาด สำหรับ
1) หุ้นที่โดนปรับลดประมาณการกำไรหรือ Downgrade/ราคามี Downside/มีปัจจัยเสี่ยงรออยู่ ได้แก่ AEONTS BEM SAWAD TCAP TIDLOR TLI TTB MST MTC TQM
2) หุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 คาดยังหดตัวต่อ YoY และ QoQ ได้แก่ GFPT CPF BTS ASP
Daily focus
ADVANC 1Q66 คาดกำไรเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากมาตรการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง (ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดน่าจะมีแนวโน้มลดลง) และรายได้จากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับตัวดีขึ้น
SCGP ปี 2566 คาดกำไรเติบโต 22%YoY จากการรับรู้ต้นทุน RCP ระดับต่ำใน 1H66 และปริมาณการขายที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นใน 1H66 โดยจะปรับตัวเพิ่มมากขึ้นใน 2H66 จากการเปิดประเทศของจีน
ข่าวเด่น