คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1600-1625 จุด โดยสัญญาณเทคนิคที่เป็น oversold หนุนให้ดัชนีพยายามรีบาวด์ โดยมีกรอบล่างที่แนวรับ 1600 จุด ขณะที่การฟื้นตัวยังถูกจำกัดจากทิศทาง fund flow ไหลออก โดยมีกรอบบนที่แนวต้าน 1625 จุด ด้านภาพรวม หากต่ำกว่า 1600 จุด เป็นลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1590 จุด
ประเด็นสำคัญ
เจอโรม พาวเวล ปธ. Fed เน้นย้ำว่า Fed จะเร่งปรับขึ้น ด.บ. เพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจถึงขนาดของการขึ้น ด.บ. ด้าน Goldman Sachs เพิ่มคาดการณ์ ด.บ. สูงสุดของ Fed ที่ 5.5-5.75% ขณะที่ FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 72% ที่ Fed จะขึ้น ด.บ. 0.50% ในการประชุม 21-22 มี.ค.
การจ้างงานภาคเอกชน ก.พ. ของสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาด และการเปิดรับสมัครงานลดลงน้อยกว่าคาดใน ม.ค. บ่งชี้ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
กกพ. เห็นชอบค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บกับ ปชช. งวด พ.ค.-ส.ค.66 ที่ 4.75 บ./หน่วย จาก 4.72 บ./หน่วย ขณะที่ กบง. ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 บ./ถัง 15 ก.ก. ตั้งแต่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 66
บอร์ด EV ปรับมาตรการสนับสนุนและเตรียมเสนอ ครม. สัปดาห์หน้า ก่อนยุบสภา รองรับค่ายรถทุกค่ายที่ลงทุนไทย เตรียมขยายเวลาผลิตรถทดแทนการนำเข้าจาก 2 ปี เป็น 3 ปี
ก. คลัง คาดเงินเฟ้อปีนี้ทรงตัวกรอบ 3% ด้าน ธปท. ระบุเงินบาทอ่อนค่าสอดคล้องภูมิภาค คาดยังผันผวนสูง แนะนำเอกชนประกันความเสี่ยง
FETCO ระบุดัชนีความเชื่อมั่น นลท. 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง หนุนจากภาคท่องเที่ยวฟื้น-การเลือกตั้ง แต่กังวล Fed เร่งขึ้น ด.บ.-การระบาดโควิด-19 หลัง นทท. ต่างชาติเข้า ปท. มากขึ้นกระทบตลาดทุน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways Down โดยตลาดจะกลับไปโฟกัสที่เศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น ซึ่งน่าจะยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ และจะกลับไปโฟกัสที่เศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเน้นรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ดังนี้
1) หุ้นที่น่าสนใจลงทุน หาก SET หลุด 1600 โดยในแง่พื้นฐานธุรกิจยังแข็งแกร่ง, Valuation มี upside น่าสนใจเกิน 20% อีกทั้งราคาหุ้นปรับลงแรง YTD และแย่กว่า SET เลือก PTTEP HMPRO CPALL SCGP GULF
2) หุ้นที่คาดผลบวกเชิงจิตวิทยาและอานิสงส์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเลือกตั้ง เลือก กลุ่มสื่อ BEC MAJOR และกลุ่มค้าปลีก CPN
3) หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี โดยเน้นจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป คาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) ปี 65 สูงเกิน 4% และปี 66 คาด Div. Yield ดีขึ้นหรือใกล้เคียงเดิม อีกทั้งปี 66 ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% เลือก KTB และ AP
ขณะที่ช่วงสั้นหุ้นแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงราคาปรับตัวลงหรือ Underperform ตลาด สำหรับ
1) หุ้นที่โดนปรับลดประมาณการกำไรหรือ Downgrade/ราคามี Downside/มีปัจจัยเสี่ยงรออยู่ ได้แก่ AEONTS BEM SAWAD TCAP TIDLOR TLI TTB MST MTC TQM
2) หุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 คาดยังหดตัวต่อ YoY และ QoQ ได้แก่ GFPT CPF BTS ASP
Daily focus
GPSC ปี 2566 คาดกำไรจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่น YoY โดยได้แรงหนุนจากราคาขายที่สูงขึ้น และมีแรงกดดันจากต้นทุนพลังงาน (LNG และถ่านหิน) ที่ลดลง อีกทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย (AEPL) จะพลิกกลับมามีกำไร
KCE มอง 1Q66 จะเป็นจุดต่ำสุดของกำไรปีนี้ และจะกลับเติบโตโดดเด่นอีกครั้งใน 2H66 จาก Pent-up demand โดยเฉพาะลูกค้าในฝั่งยุโรปจะชดเชยการปรับลดราคาขายให้กับลูกค้าได้ และคาดว่าจะดีต่อเนื่องไปถึงปี 2567 ที่มีการขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่
ข่าวเด่น