วิกฤตภาคธนาคารคลายกังวล หลังมีการเข้าช่วยเหลืออย่างทันทีเป็นปัจจัยหนุนดัชนี อย่างไรก็ตาม คาดนักลงทุนในตลาดยังคงมีความระมัดระวังถึงปัญหาที่คล้ายกันจะเกิดขึ้นกับธนาคารอื่นตามมาอีกหรือไม่ ทำให้มองดัชนีจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ โดยมีกรอบบนอยู่ที่แนวต้าน 1565 และ 1574 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบล่างอยู่ที่แนวรับ 1533-1540 จุด
ประเด็นสำคัญ
ธนาคารใหญ่หลายแห่งของสหรัฐ รวมทั้ง JP Morgan, Goldman Sachs อัดฉีดเงิน 3 หมื่นล้านเหรียญเสริมสภาพคล่องให้กับ First Republic Bank ด้วยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนหรือซื้อกิจการ ด้านธนาคารกลางสวิสอัดฉีดสภาพคล่อง-จัดหาเงินกู้ 5 หมื่นล้านฟรังก์สวิสให้กับ Credit Suisse
ECB มีมติปรับขึ้น ด.บ. 0.50% สู่ 3.5% มองเงินเฟ้อมีปัจจัยเสี่ยงกระทบ ศก. ของ EU มากกว่าปัญหาวิกฤตกลุ่มธุรกิจธนาคารยุโรปในขณะนี้
ซาอุดิอาระเบียอละรัสเซียร่วมสร้างเสถียรภาพตลาดน้ำมัน โดยยังยึดมั่นในการตัดสินใจของที่ประชุม OPEC+ เมื่อเดือน ต.ค. 65 ในการปรับลดเป้าหมายการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาร์เรล/วัน ไปจนถึงปลายปี 66
รัฐบาลสหรัฐบีบให้เจ้าของแอป Tik Tok ชาวจีน ถอนการถือหุ้น หรืออาจต้องถูกสั่งแบน โดยอ้างว่า ข้อมูลผู้ใช้ Tik Tok ในสหรัฐ อาจถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลจีน
นโยบายส่งเสริมรถยนต์ EV 3.5 เพื่อดึงดูดค่ายรถยนต์ตั้งฐานผลิตในไทยเพิ่มเติมเข้า ครม. ไม่ทันก่อนยุบสภา บอร์ด EV ระบุรอรัฐบาลชุดใหม่สานต่อ
กกร. ระบุนักลงทุนญี่ปุ่นมีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยเพิ่มขึ้น โดยให้ความสำคัญกับไทยในการเป็นฐานการผลิตในอาเซียน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน ระหว่างรอประเมินผลกระทบของ SVB และธนาคารเครดิตสวิส ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักกดดันบรรยากาศการลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงคงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET แกว่งตัวผันผวน ระหว่างรอประเมินผลกระทบของ SVB และธนาคารเครดิตสวิส ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเน้นรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ดังนี้
1) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ หลัง SET หลุดแนวรับเชิงจิตวิทยาบริเวณ 1600 จุดแนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง อีกทั้งราคาหุ้นปรับลงแรง YTD และแย่กว่า SET เลือก PTTEP HMPRO CPALL SCGP GULF
2) หุ้นที่คาดผลบวกเชิงจิตวิทยาและอานิสงส์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเลือกตั้ง เลือก กลุ่มสื่อ BEC MAJOR และกลุ่มค้าปลีก CPN
3) หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี โดยเน้นจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป คาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) ปี 65 สูงเกิน 4% และปี 66 คาด Div. Yield ดีขึ้นหรือใกล้เคียงเดิม อีกทั้งปี 66 ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 10% เลือก KTB และ AP
ขณะที่ช่วงสั้นหุ้นแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงราคาปรับตัวลงหรือ Underperform ตลาด สำหรับ
1) หุ้นที่โดนปรับลดประมาณการกำไรหรือ Downgrade/ราคามี Downside/มีปัจจัยเสี่ยงรออยู่ ได้แก่ AEONTS BEM SAWAD TCAP TIDLOR TLI TTB MST MTC TQM
2) หุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 คาดยังหดตัวต่อ YoY และ QoQ ได้แก่ GFPT CPF BTS ASP
Daily focus
BBL ปี 2566 คาดกำไรเติบโต 50%YoY สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร อีกทั้งมองมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการกลับเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น
SCC ราคาหุ้นปรับลง 7%YTD มองสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ขณะที่ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดใน 4Q65 และ 1Q66 คาดกำไรจะฟื้นตัวจากทุกกลุ่มธุรกิจ หลังการเปิดประเทศของจีนทำให้ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์และปิโตรเคมีเริ่มฟื้นตัว
ข่าวเด่น