· เงินบาทปรับตัวอย่างผันผวน โดยแข็งค่าหลุดแนว 34.00 รับสัญญาณเฟดใกล้ยุติดอกเบี้ยขาขึ้น ก่อนจะกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาภาคธนาคารในยุโรป
· SET Index ปรับตัวขึ้น หลังการเมืองในประเทศมีความชัดเจน และการคาดการณ์ว่า เฟดคงขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่มากในช่วงหลังจากนี้
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน ก่อนแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 5 สัปดาห์ หลังผลการประชุมเฟด ทั้งนี้ เงินบาทขยับอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับน่าจะมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชันบางส่วนก่อนการประชุมเฟด อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาแข็งขึ้นตามสกุลเงินเอเชียในภาพรวมหลังผลการประชุมเฟด ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายท่ามกลางการคาดการณ์ว่า เฟดใกล้ที่จะยุติวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น หลัง dot plot สะท้อนว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้
โดยเงินบาทหลุดระดับ 34.00 ช่วงสั้นๆ ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 5 สัปดาห์ที่ 33.91 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ถูกกดดันจากการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์และปัญหาแบงก์ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีกรอบการแข็งค่าของเงินบาทเป็นไปอย่างจำกัดในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากตลาดกลับมากังวลเกี่ยวกับปัญหาของธนาคารในฝั่งยุโรป และรอติดตามผลการประชุมกนง.วันที่ 29 มี.ค. นี้ ด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 24 มี.ค. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.12 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 34.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (17 มี.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 20-24 มี.ค. นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 5,242 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทยที่ 11 ล้านบาท (ซื้อสุทธิ 109 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้หมดอายุ 120 ล้านบาท)
สัปดาห์ถัดไป (27-31 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.80-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. รายงานเศรษฐกิจการเงินและตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนก.พ. พัฒนาการปัญหาของแบงก์ในสหรัฐฯ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชีย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือนก.พ. ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์จากมุมมองของผู้บริโภคเดือนมี.ค. ตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 4/2565 (final) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของยูโรโซน รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิต/บริการเดือนมี.ค. ของจีน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
หุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้น หลังร่วงลง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน ทั้งนี้หุ้นไทยย่อตัวลงสั้นๆ ช่วงต้นสัปดาห์ ก่อนจะทยอยปรับตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ โดยมีปัจจัยหนุนจากผลการประชุมเฟดที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ตามที่ตลาดคาดและส่งสัญญาณใกล้จบแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ความพยายามของทางการในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงการที่กกต.ประกาศวันเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการ โดยปัจจัยบวกข้างต้นกระตุ้นแรงซื้อคืนหุ้นทุกกลุ่ม ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นมากสุด เนื่องจากมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นรับโอกาสความเป็นไปได้ที่โอเปกพลัสจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง อย่างไรก็ดีหุ้นไทยลดช่วงบวกลงเล็กน้อยปลายสัปดาห์ตามทิศทางหุ้นภูมิภาค
ในวันศุกร์ (24 มี.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,591.85 จุด เพิ่มขึ้น 1.80% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 52,334.72 ล้านบาท ลดลง 33.99% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.69% มาปิดที่ระดับ 534.56 จุด
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (27-31 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,580 และ 1,570 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,600 และ 1,615 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (29 มี.ค.) ตัวเลขส่งออกเดือนก.พ. ของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนก.พ. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/65 (final) รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. และดัชนี PMI เดือนมี.ค. ของจีน รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อ (เบื้องต้น) เดือนมี.ค. ของยูโรโซน
ข่าวเด่น