แม้จะผ่านพ้นปี 2022 ปีแห่งความผันผวน ที่เศรษฐกิจทั่วทั้งโลกเกิดการซบเซาลงไป จากทั้งสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เขย่า Supply Chain ทั่วทั้งระบบโลก เกิดการขาดแคลนทรัพยากร สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาแพงขึ้นมาก เป็นชนวนทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ต้องออกนโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งต้องแลกมากับความผันผวนของสินทรัพย์แทบจะทุกชนิด เศรษฐกิจหลายแห่งต่างฝืดเคืองเนื่องจากคนส่วนใหญ่กอดเงินสดไว้กับตัวเอง
มาในปี 2023 ที่สถานการณ์ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นแล้ว จากทั้งสหรัฐลดการคุมเข้มของไวรัสโควิด-19 ประเทศจีนยกเลิกนโยบาย Zero-Covid ส่งผลบวกกับทางด้านเศรษฐกิจทั่วโลก สภาวะเงินเฟ้อมีการลดระดับลงไปแล้ว สกุลเงินในหลายประเทศเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ส่วนเงินทุนเริ่มกลับเข้ามายังสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้นและคริปโต บ่งบอกถึงอารมณ์ของคนในตลาดส่วนใหญ่ที่มีมุมมองไปในทางบวก และสบายใจในการลงทุนมากขึ้น มองดูเผินๆแล้วก็เหมือนกับทะเลที่คลื่นกำลังสงบ แต่แล้วก็กลับมีเหตุการณ์ล่มสลายของ Silicon Valley Bank หรือ SVB และสถาบันการเงินอื่นๆตามมา เป็นคลื่นพายุก้อนใหญ่ที่สร้างความหวาดหวั่นให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ SVB เป็นเหมือนกับการตอกย้ำว่าปัญหาทางเศรษฐกิจยังไม่ได้หมดไป เพราะแท้จริงแล้วผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้ฝังรากให้กับหลายๆบริษัทต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนหนักอึ้ง บางบริษัทแบกรับไม่ไหว และไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ ก็ต้องล้มหายไปเหมือนที่เกิดขึ้นกับ SVB ซึ่งเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางเฟดก็ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% และส่งสัญญาณว่าจะยังให้น้ำหนักกับการควบคุมเงินเฟ้อให้เหลือ 2% โดยพร้อมจะใช้เครื่องมือทางการเงินดูแลเสถียรภาพทางการเงิน แสดงถึงความกังวลที่เฟดมีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงิน ซึ่งทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้มีการคาดการณ์ว่า ปัญหาภาคธนาคาร จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการชะลอตัวลง มีแนวโน้มสูงขึ้นที่สหรัฐจะเข้าสู่สภาวะถดถอยบางไตรมาสในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
การบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่ต้องเตรียมรับมือในปี 2023 นี้ อย่างแรกจึงเป็นเรื่องของการดูสินทรัพย์ก่อนการเข้าไปลงทุนว่ามีความผูกพันกับทางฝั่งของสหรัฐอย่างไรบ้าง เช่นในแง่ของการส่งออกของไทย ที่คาดว่าจะมีการหดตัวลง -1.2% เพราะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มของการเกิดเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ เป็นต้น และจากบรรยากาศในประเทศ ถึงความเชื่อมั่นของผู้คนที่กับสถาบันการเงินนั้นลดลง ซึ่งระยะถัดไปต้องจับตาถึงประเด็นที่ว่า ทางการสหรัฐ จะปรับปรุงกฎหมายการกำกับดูแลภาคธนาคารสหรัฐฯ ให้เข้มงวดขึ้นกับธนาคารขนาดกลางและเล็กหรือไม่ ซึ่งหากมีการดำเนินการได้จริงในทางปฏิบัติ ก็อาจทำให้ธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น กระทบผลประกอบการธนาคารกลุ่มดังกล่าวในระยะกลาง
นอกจากนี้การถดถอยทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นกับสหรัฐ และการผ่อนคันเร่งของอัตราการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นอีกหนึ่งครั้งนั้น ทำให้เงินทุนมีทิศทางไหลออกจากสหรัฐ และทำให้ค่าเงินประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในฝั่งเอเชียกลับมาแข็งค่าขึ้น อย่างค่าเงินบาทไทยที่มีโอกาสแกว่งตัวในทิศทางที่แข็งค่า จากนักลงทุนต่างชาติที่กลับมาพักเงินไว้กับสกุลเงินบาท เนื่องจากมีปัจจัยบวกโดดเด่นอย่างภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาเติบโตร้อนแรง โดยทางกสิกรได้มีการคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาสูงสุดในปีนี้ 30 ล้านคน และมี GDP เติบโตอยู่ที่ 3.7% ฉะนั้นการพิจารณาแบ่งสัดส่วนมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล มีแนวโน้มที่จะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตเงินลงทุนได้ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ และการลงทุนในสินค้าและภาคบริการที่ยึดโยงกับภาคการท่องเที่ยวไทยก็เป็นโอกาสที่สำคัญเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังต้องรับมือกับความไม่แน่นอนอีกในด้านภูมิศาสตร์ อย่างสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่จบลง ความขัดแย้งของสหรัฐและจีนที่มีเพิ่มขึ้น จากข้อพิพาทเกี่ยวกับไต้หวัน การที่รัฐบาลจีนเป็นตัวประสานความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน เป็นการขยายอำนาจที่อาจนำมาสู่เกมการเมืองที่เริ่มเปิดฉากกับสหรัฐในปีนี้ โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาลุกลามไปทั่วโลกโดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นเหตุผลให้สินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้นและคริปโตมีโอกาสปรับตัวลดลงอีก และความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นการกระจายความเสี่ยง ปรับ Balance ของพอร์ตนำเงินทุนมาเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเอาไว้ด้วย จึงเป็นการลดความเสี่ยงจากปัจจัยความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้
ข่าวเด่น