คาด SET มีแนวโน้มอ่อนตัวลงได้ต่อ จากสัญญาณเทคนิคที่เป็นลบ และตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ รวมถึงมูลค่าซื้อขายเบาบาง ในช่วงก่อนหยุดเทศกาลสงกรานต์ ขณะที่วันนี้หลายตลาดปิดทำการ เนื่องในวัน Good Friday ด้านแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1557 และ 1543 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1580 และ 1587 จุด
ประเด็นสำคัญ
สหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วลดลง บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐกำลังชะลอตัวลง
EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาดว่าจะลดลงเพียง 2.3 ล้านบาร์เรล
IMF คาด ศก. โลกปีนี้น่าจะขยายตัวไม่ถึง 3% ชะลอตัวลงจากที่โต 3.4% เมื่อปีที่ผ่านมา และคาดจะโตทรงตัวที่ 3% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 20 ปีที่ผ่านมาที่ 3.8%
สมาคมค้าปลีกไทยระบุดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ 1Q66 เมื่อเทียบกับ 4Q65 มีความน่ากังวลจากกำลังซื้ออ่อนแอและต้นทุนเพิ่มขึ้น
พาณิชย์รายงานเงินเฟ้อไทย มี.ค. อยู่ที่ 107.76 เพิ่มขึ้น 2.83%YoY ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 15 เดือน
กกร. เตรียมส่งหนังสือถึงนายกฯ ทบทวนขึ้นค่า FT งวด พ.ค.-ส.ค. ให้ถูกกว่า 4.77 บ./หน่วย ทั้งยังวิกฤติ ศก. สหรัฐฉุด ศก. โลกชะลอตัว-ถดถอย โดยคาดหวัง Fed ลด ด.บ.
กกพ. เปิดผยผลคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเฟสแรก 5,203 MW GULF ได้มากสุด 1,623.91 MW
BOI ระบุยอดส่งเสริมกิจการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบสูงกว่า 1 แสนลบ. เร่งผลักดันนโยบายส่งเสริมลงทุนรองรับอุปสงค์ใน ปท. เพิ่มกว่า 8 เท่า ขณะที่จีนทยอยตั้งฐานผลิตในไทย
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ช่วงสั้นตลาดจะคลายกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของวิกฤตธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป แต่เชิงเทคนิคตลาดเข้าสู่ภาวะ overbought บวกกับ มุมมองที่แตกต่างกันระหว่างเฟดและตลาดเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจนำไปสู่ความผันผวนของตลาดในระยะถัดไป อีกทั้งโดยปกติเดือน เม.ย. วอลุ่มเฉลี่ยต่อวันของตลาดส่วนใหญ่จะปรับตัวลดลง MoM เนื่องจากนักลงทุนมักจะชะลอการเข้าลงทุนจากการมีวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ จึงทำให้มองช่วงสั้นนี้ SET จะเริ่มมี Upside จำกัดและมีโอกาสพักตัว กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET มี Upside จำกัดและมีโอกาสพักตัว หลังเข้าสู่ภาวะ Overbought และใกล้วันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Best of the best ภายใต้วิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. ทำให้คาด Downside เริ่มจำกัด จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF
2. Trading Idea : หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไทยหลังราคาหุ้นยังไม่ค่อยปรับขึ้น เมื่อเทียบกับดัชนีกลุ่ม Semiconductor ในสหรัฐที่ปรับขึ้นแรง ขณะทีผลประกอบคาดจะผ่านจุดต่ำสุดใน 1Q66 เลือก KCE HANA
3. หุ้นปันผล ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง 11 ปี (ปี 2011-2022 ยกเว้นปี 2020) พบมี 2 หุ้นปันผลดีที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราซึ่งให้ผลตอบแทนบวกและมี Win Rate เกิน 50% ในเดือน เม.ย. ได้แก่ SPALI (ปันผลหุ้นละ 0.75 บาท) และ LH (ปันผลหุ้นละ 0.35 บาท) ซึ่งจะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พ.ค.
Daily focus
BDMS ปี 2566 คาดกำไรปกติเติบโต 12%YoY แรงหนุนจากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด-19 และบริการผู้ป่วยต่างชาติที่เติบโตมากขึ้น อีกทั้งมีประเด็นบวก คือ ความร่วมมือกับ Ping An Health ที่น่าจะทำให้ผู้ป่วยจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นใน 3Q66
AOT มองกำไร 2QFY66 จะแข็งแกร่งขึ้นจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และจะเติบโตก้าวกระโดดใน 3QFY66 หลังกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำในวันที่ 1 เม.ย. หลังจากมาตรการช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์สิ้นสุดลง
ข่าวเด่น