\ช่วง SET ปิดสงกรานต์ ไม่มีประเด็นใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามากระทบตลาดนัก ขณะที่งบฯ กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐออกมาดี คาดจะเป็นปัจจัยสร้าง Sentiment บวกต่อกลุ่มธนาคารไทย และ SET โดยแนวโน้มดัชนี หากไม่ต่ำกว่า 1570 จุด ยังมองมีโอกาสรอทดสอบ 1600 จุด ซึ่งหากขึ้นทะลุผ่านได้ เป็นบวกต่อ เพื่อทดสอบจุดสูงเดิมบริเวณ 1615 จุด เป็นแนวต้านถัดไป
ประเด็นสำคัญ
รัสเซียระบุจะไม่ขยายข้อตกลงการส่งออกธัญพืชที่มี UN เป็นตัวกลางออกไปเกินวันที่ 18 พ.ค. นอกจากชาติตะวันตกจะยอมยกเลิกมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรของรัสเซีย ซึ่งรวมถึงปุ๋ยและธัญพืช
IEA เตือนว่าการที่ OPEC+ ประกาศลดการผลิตน้ำมันเมื่อวันที่ 2 เม.ย.นั้น อาจจะทำให้ปริมาณน้ำมันขาดแคลนในช่วง 2H66 และจะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นในขณะที่สถานการณ์ทาง ศก. มีความไม่แน่นอนอย่างมาก
ซีอีโอ JP Morgan เตือนนักลงทุน-ภาคธุรกิจรับมือผลกระทบภาวะ ด.บ. ขาขึ้นที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นเป็นเวลานานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
สมาคมผู้ค้าปลีกไทยระบุ 2Q66 เตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าอีก 5% จากต้นทุนแพง เสนอเร่งจัดตั้งรัฐบาลภายหลังเลือกตั้ง เพื่อออกมาตรการกระตุ้น ศก. หนุนกำลังซื้อที่ยังเปราะบาง
กรมควบคุมโรคคาดหลังสงกรานต์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น โดยพบสัปดาห์นี้ป่วยรักษา 435 ราย เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า จากสัปดาห์ก่อน มีผู้ป่วยยืนยันติดโควิดสายพันธุ์โอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 แล้ว 6 ราย
ททท.วางเป้าหมายปี 2566 เฉพาะตลาด ตปท. มีรายได้ 1.5 ล้านลบ. จากนทท. ต่างชาติ 25-30 ล้านคน เป็น นทท. จีนอย่างน้อย 5 ล้านคน ฟื้นตัว 50% เทียบปี 2562 ทำสถิติสูงสุดกว่า 11 ล้านคน
BCP กำหนดราคาสุดท้ายรับซื้อ ESSO ต้องรองบ 2Q66 คาดอยู่ในช่วง 8-9 บาท/หุ้น ภายใน ก.ค.นี้ มูลค่า 2-2.2 หมื่นลบ. คืนทุนภายใน 4-5 ปี
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหว Sideways อยู่ในกรอบระหว่าง 1580-1620 เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ และรอดูผลประกอบการ 1Q66 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ อีกทั้งมุมมองที่แตกต่างระหว่างเฟดและตลาดเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจนำไปสู่ความผันผวนของตลาดในระยะถัดไป ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1580-1620 หลังยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ และรอดูผลประกอบการ 1Q66 ของกลุ่ม ธพ. ไทยที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Best of the best ภายใต้วิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. ทำให้คาด Downside เริ่มจำกัด จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF
2. หุ้นที่มีสถิติให้ผลตอบแทนดีหากซื้อวันแรกหลังเปิดสงกรานต์และขายปลายเดือน เม.ย. โดยคัดเลือกหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และมีปัจจัยบวกหนุน ได้แก่ กลุ่มพลังงาน เลือก PTT BCP ซึ่งคาดได้อานิสงส์ราคาน้ำมันฟื้นตัวและค่าการกลั่นเข้าสู่ High Season, กลุ่มค้าปลีก เลือก HMPRO หลังอุปสงค์เครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มให้ความเย็นปรับตัวดีขึ้นจากภาวะอากาศร้อนจัด และหุ้นปันผล เลือก AP KKP KTB LH ซึ่งจะขึ้น XD ในช่วงกลาง เม.ย.-ต้น พ.ค. นี้
Daily focus
BCP ช่วงสั้นมองได้ Sentiment บวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น หลังตลาดกังวลอุปทานตึงตัวเนื่องจากโอเปกพลัสปรับลดการผลิตน้ำมันลง นอกจากนี้ยังมองบวกต่อแผนเข้าซื้อกิจการ ESSO เพื่อต่อยอดธุรกิจน้ำมันทำให้สามารถขยายธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
BBL 1Q66 คาดมีกำไรปกติราว 1.07 หมื่นลบ. เติบโต 50%YoY สูงที่สุดในกลุ่ม อีกทั้งมองมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และได้ประโยชน์มากที่สุดจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น มีเงินปันผลจ่าย 3 บาท (XD 21 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 1.9%
ข่าวเด่น