คาด SET มีแนวโน้มอ่อนตัวลงได้ต่อ จากสัญญาณเทคนิคที่เป็นลบ และมีปัจจัยกดดันจากกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และกลุ่มโรงไฟฟ้าจากการเตรียมลดค่า Ft ด้านแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1558 และ 1545 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1575 และ 1582 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
สหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.45 แสนราย สูงกว่าคาดที่ 2.4 แสนราย ส่วนยอดขายบ้านมือสอง มี.ค. ลดลง 2.4%MoM และลดลง 22%YoY ขณะที่ดัชนีภาคการผลิตโดย Fed ฟิลาเดลเฟีย เม.ย. ปรับลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ พ.ค.
ปธน. ไบเดนเตรียมลงนามคำสั่ง ปธน. ควบคุมการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์, AI และควอนตัมคอมพิวเตอร์ในจีนก่อนประชุม G7 เดือนหน้า
ปธ. ECB ระบุเงินเฟ้อของยูโรโซนยังสูงเกินไป และนโยบายการเงินของ ECB จะยังคงต้องขึ้น ด.บ. ต่อไป เพื่อทำให้เงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมาย 2%
Deutsche Bank เตรียมลดจำนวนผู้บริหารลงจาก 10 เหลือ 9 คน และลดตำแหน่งงานโครงสร้างพื้นฐานและกิจการ ธ. เอกชนลงเพื่อลด คชจ.
วันนี้ติดตามประชุมคณะอนุกรรมการค่าไฟฟ้าฯ พิจารณาปรับลดค่า Ft งวด พ.ค. – ส.ค. 66 จาก 4.77 เหลือ 4.70 บ./หน่วย หากได้รับความเห็นชอบ กกพ. ก็จะประกาศลดค่าไฟฟ้าต่อไป
บวท. ระบุสงกรานต์ปีนี้มีปริมาณเที่ยวบินรวม 13,569 เที่ยวบิน เฉลี่ย 1,938 เที่ยว/วัน เพิ่มขึ้น 59%YoY แต่ยังต่ำกว่าปี 2562 ที่เป็นช่วงก่อนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ราว 28%
ฉางอัน ออโตโมบิล ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีน ประกาศลงทุนในไทย 9.8 พันลบ. เตรียมยื่นขอรับการส่งเสริมฯ สร้างฐานการผลิตรถยนต์ EV พวงมาลัยขวาแห่งแรกนอกจีน 1 แสนคัน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหว Sideways อยู่ในกรอบระหว่าง 1580-1620 เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ และรอดูผลประกอบการ 1Q66 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ อีกทั้งมุมมองที่แตกต่างระหว่างเฟดและตลาดเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจนำไปสู่ความผันผวนของตลาดในระยะถัดไป ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1580-1620 หลังยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ และรอดูผลประกอบการ 1Q66 ของกลุ่ม ธพ. ไทยที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Best of the best ภายใต้วิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. ทำให้คาด Downside เริ่มจำกัด จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF
2. หุ้นที่มีสถิติให้ผลตอบแทนดีหากซื้อวันแรกหลังเปิดสงกรานต์และขายปลายเดือน เม.ย. โดยคัดเลือกหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และมีปัจจัยบวกหนุน ได้แก่ กลุ่มพลังงาน เลือก PTT BCP ซึ่งคาดได้อานิสงส์ราคาน้ำมันฟื้นตัวและค่าการกลั่นเข้าสู่ High Season, กลุ่มค้าปลีก เลือก HMPRO หลังอุปสงค์เครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มให้ความเย็นปรับตัวดีขึ้นจากภาวะอากาศร้อนจัด และหุ้นปันผล เลือก AP KKP KTB LH ซึ่งจะขึ้น XD ในช่วงกลาง เม.ย.-ต้น พ.ค. นี้
Daily focus
BBL 1Q66 รายงานกำไร 1.01 หมื่นลบ. เติบโต 42%YoY และ 34%QoQ ดีกว่าตลาดคาด ขณะที่ 2Q66 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ (ตั้งสำรองลดลง, NII สูงขึ้น) และ YoY (NII สูงขึ้น) ส่วนทั้งปี 2566 คาดกำไรจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ 50%YoY
CPALL 1Q66 คาดกำไรปกติที่ 3.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น 10%YoY และ 26%QoQ อีกทั้งคาดการนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้สกุลบาทที่เสร็จสิ้นแล้วไปใช้รีไฟแนนซ์หนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐของ MAKRO จะทำให้ต้นทุนการเงินลดลง หนุนให้กำไร CPALL ปรับขึ้นได้อีก
ข่าวเด่น