เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล.อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ดูดีขึ้น แต่ยังไม่ดีพอ"


SET ยังไม่พบสัญญาณกลับตัวของดัชนีในภาพรวม  ทำให้มองการฟื้นตัวยังถูกจำกัด โดยมีกรอบบนอยู่ที่แนวต้าน 1550-1560 จุด ด้านกรอบล่างอยู่ที่แนวรับ 1532 จุด ซึ่งรองรับดัชนีได้เมื่อวานนี้ หากต่ำกว่าจะเป็นสัญญาณลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1520 จุด ประเด็นสำคัญติดตามรายงาน GDP ใน 1Q23 (ประมาณการครั้งแรก) ของสหรัฐในคืนนี้ 

ประเด็นสำคัญ

พาณิชย์รายงานยอดส่งออก มี.ค. ลดลง 4.2%YoY แต่มูลค่าส่งออกอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือน ขณะที่การนำเข้าลดลง 7.1%YoY ส่งผลให้กลับมาเกินดุลการค้า 2.7 พันล้านเหรียญ เป็นครั้งแรกในรอบ 12 เดือน ส่วนปีนี้ยังมองเป้าการส่งออกขยายตัว 1-2%

ททท. คาดช่วงวันหยุดแรงงานของจีน 30 เม.ย. – 4 พ.ค. 66 จะมี นทท. จีนเดินทางเข้าไทยมากขึ้น ขณะที่แนวโน้ม 2Q66 คาดจำนวน นทท. ต่างชาติเดินทางเข้าไทยในระดับเดียวกับ 1Q66 ที่จำนวน 6.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 329%YioY สร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 3.17 แสนลบ.

ผู้ประกอบการอสังหาฯ เตรียมปรับขึ้นราคา 10-20% จากต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งราคาวัสดุก่อสร้าง ขนส่ง คาด segment ระดับล่างราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ได้รับกระทบหนักสุดจากลูกค้าชะลอการซื้อ

สหรัฐรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเพิ่มขึ้น 3.2%YoY ในเดือน มี.ค. ดีกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.1% หลังจากลดลง 0.7% ในเดือน ก.พ.

EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 5.1 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าคาดว่าจะลดลงเพียง 2.3 ล้านบาร์เรล

Meta รายงานรายได้และกำไร 1Q66 ออกมาดีกว่าตลาดคาด

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET ยังมี Upside จำกัดและมีโอกาสอ่อนตัว เนื่องจากยังขาดปัจจัยหนุน และภาพรวมผลประกอบการ 1Q66 คาดยังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยที่หุ้นเทคโนโลยีและธนาคารเล็กของสหรัฐ รวมทั้ง บจ. ไทยที่จะออกมาสัปดาห์นี้มีโอกาสแย่กว่าคาด อีกทั้งมองนักลงทุนอยู่ระหว่างรอดูความชัดเจนทิศทางดอกเบี้ยจากการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 2-3 พ.ค. นี้ กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”

ล็อคเป้าลงทุน

Weekly Portfolio : มอง SET ขาดปัจจัยหนุน และภาพรวมผลประกอบการ 1Q66 คาดยังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยที่หุ้นเทคโนโลยีและธนาคารเล็กของสหรัฐ รวมทั้ง บจ. ไทยที่จะออกมาสัปดาห์นี้มีโอกาสแย่กว่าคาด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1. หุ้น Best of the best ภายใต้วิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำ Let Profit Run 

2. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะออกมาตามตลาดคาด และจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ หรือ ผลการดำเนินงานมีสัญญาณฟื้นตัวใน 2Q66 เลือก HMPRO ADVANC KCE MINT AOT OSP

3. หุ้นปันผลดี ซึ่งปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังมี Upside น่าสนใจเกิน 15% เลือก AP (XD 9 พ.ค. @0.65 บาท) และ LH (XD 8 พ.ค. @0.35 บาท) โดยคิดเป็น Div. Yield เกิน 3%

ขณะที่มีกลุ่มหุ้นแนะนำ “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน” เนื่องจากผลการดำเนินงานยังไม่สดใส และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ NRF LPN MST SAWAD QH KTC PSH THRE TCAP MTC KEX KISS TU CBG GFPT BTG BTS BEM JASIF SAT IIG  NER

Daily focus

OSP 1Q66 คาดกำไรสุทธิลดลง 11.2%YoY แต่เพิ่มขึ้น 98%QoQ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นและเงินปันผลจาก Unicharm ขณะที่ปี 2566 คาดกำไรสุทธิเติบโตสูง 43.8%YoY จากรายได้ฟื้นตัวและมาร์จิ้นดีขึ้นจากต้นทุนลดลงและทวงคืนส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มบำรุง

AP 1Q66 คาดกำไรสุทธิ 1.44 พันลบ. เพิ่มขึ้น 25.1% QoQ แต่ลดลง 16.5%YoY จากจุดสูงสุดใน 1Q65 ขณะที่ backlog ที่แข็งแกร่งและยอดขายที่เติบโตต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนให้กำไรปี 2566 ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 เม.ย. 2566 เวลา : 11:26:19
29-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 29, 2024, 8:55 am