SET ในภาพรวมสัญญาณเทคนิคยังอ่อนแรง และไม่พบสัญญาณการกลับตัว ทำให้มองการฟื้นตัวยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1545 จุด ซึ่งใช้เป็นจุดติดตาม หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะกลับมาเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1556 จุด ส่วนกรอบล่างมีแนวโน้มลงมาทดสอบที่บริเวณจุดต่ำเดิม 1518-1520 จุด หากต่ำกว่า เป็นลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1509 จุด
ประเด็นสำคัญ
สหรัฐรายงาน GDP 1Q66 (ประมาณการครั้งที่ 1) เพิ่มขึ้น 1.1% ต่ำกว่าคาดที่ 2% เนื่องจากภาคธุรกิจปรับลดการลงทุนในการสต็อกสินค้า หักล้างการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น
ก. แรงงานสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วลดลง 1.6 หมื่นราย อยู่ที่ 2.3 แสนราย สวนทางว่าจะเพิ่มขึ้นมาที่ 2.49 แสนราย
เยอรมนีอยู่ระหว่างการศึกษาการจำกัดการส่งออกเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน
กรมธุรกิจพลังงานระบุภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 1Q66 เฉลี่ยอยู่ที่ 160.85 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 5.6%YoY และคาด 2H66 การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณการฟื้นตัวของ ศก. ในประเทศ
ม.หอการค้าไทย ระบุผลสำรวจแรงงานไทยมีภาระหนี้ครัวเรือนกว่า 2.72 แสนลบ. เพิ่มขึ้น 25% สูงสุดในรอบ 14 ปี
โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย รายงานยอดจำหน่ายรถยนต์ 1Q66 อยู่ที่ 217,073 คัน ลดลง 6.1%YoY โดยเดือน มี.ค. ยอดขายอยู่ที่ 79,943 คัน ลดลง 8.4%YoY
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังมี Upside จำกัดและมีโอกาสอ่อนตัว เนื่องจากยังขาดปัจจัยหนุน และภาพรวมผลประกอบการ 1Q66 คาดยังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยที่หุ้นเทคโนโลยีและธนาคารเล็กของสหรัฐ รวมทั้ง บจ. ไทยที่จะออกมาสัปดาห์นี้มีโอกาสแย่กว่าคาด อีกทั้งมองนักลงทุนอยู่ระหว่างรอดูความชัดเจนทิศทางดอกเบี้ยจากการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 2-3 พ.ค. นี้ กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ขาดปัจจัยหนุน และภาพรวมผลประกอบการ 1Q66 คาดยังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยที่หุ้นเทคโนโลยีและธนาคารเล็กของสหรัฐ รวมทั้ง บจ. ไทยที่จะออกมาสัปดาห์นี้มีโอกาสแย่กว่าคาด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Best of the best ภายใต้วิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำ Let Profit Run
2. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะออกมาตามตลาดคาด และจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ หรือ ผลการดำเนินงานมีสัญญาณฟื้นตัวใน 2Q66 เลือก HMPRO ADVANC KCE MINT AOT OSP
3. หุ้นปันผลดี ซึ่งปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังมี Upside น่าสนใจเกิน 15% เลือก AP (XD 9 พ.ค. @0.65 บาท) และ LH (XD 8 พ.ค. @0.35 บาท) โดยคิดเป็น Div. Yield เกิน 3%
ขณะที่มีกลุ่มหุ้นแนะนำ “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน” เนื่องจากผลการดำเนินงานยังไม่สดใส และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ NRF LPN MST SAWAD QH KTC PSH THRE TCAP MTC KEX KISS TU CBG GFPT BTG BTS BEM JASIF SAT IIG NER
Daily focus
CRC 1Q66 คาดกำไรจะเติบโต YoY จากยอดขายปลีก รายได้จากการให้เช่า และมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ส่วนทั้งปี 2566 คาดกำไรเติบโต 23.5%YoY ขณะที่ราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% จากราคาเป้าหมายที่ 52 บาท และมีเงินปันผลปี 2565 อยู่ที่ 0.48 บาท/หุ้น (XD วันที่ 8 พ.ค.)
BCP ปี 2566 คาดกำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้น YoY เนื่องจากผลกระทบจากขาดทุนสินค้าคงเหลือและสัญญาประกันความเสี่ยงจะลดลง อีกทั้งยังมีมุมมองบวกต่อแผนเข้าซื้อกิจการ ESSO เพื่อต่อยอดธุรกิจน้ำมันซึ่งจะทำให้สามารถขยายธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ข่าวเด่น