คาด SET ในระยะสั้น เริ่มมี Upside จำกัด โดยให้ระวังที่แนวต้าน 1577 จุด คาดมีโอกาสชะลอตัวสลับบ้างเพื่อลดความร้อนแรง ด้านแนวรับอยู่ที่ 1545-1555 จุด และในภาพรวมใช้จุดติดตามเดิม คือ 1533 จุด หากไม่ต่ำกว่า ยังเป็นสัญญาณการไต่ระดับต่อในภาพรวม ประเด็นสำคัญ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้
ประเด็นสำคัญ
รัฐบาลสหรัฐมีแผนที่จะซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมเต็มคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (SPR) ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากเมื่อปีที่แล้ว ปธน.ไบเดนได้สั่งระบายน้ำมันจำนวนมากออกจากคลัง SPR
จีนเตือนพร้อมตอบโต้ EU หากขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนตามมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อรัสเซีย
จีนรายงานยอดส่งออก เม.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 8.5% สู่ระดับ 2.9542 แสนล้านเหรียญ ชะลอลงจาก มี.ค. ที่ขยายตัวถึง 14.8% ขณะที่ยอดนำเข้า เม.ย. ลดลง 7.9% สู่ระดับ 2.0521 แสนล้านเหรียญ ปรับลงต่อเนื่อง ทางด้านยอดส่งออกชิปไต้หวันไปจีนปรับตัวลดลง 10 เดือนติดต่อกัน
กบน. เห็นชอบปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงอีก 0.50 บ./ลิตร อยู่ที่ 32 บ./ลิตร หลังจากราคาเฉลี่ยน้ำมันดีเซลลดลงไม่ถึง 100 เหรียญ/บาร์เรล ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 มีผล 15 พ.ค. นี้ นับเป็นการปรับลงครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ ก.พ. ที่ผ่านมา รวมปรับลงแล้ว 3 บ./ลิตร
สภาธุรกิจตลาดทุนไทยระบุดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 110.09 เพิ่มขึ้น 15.1%MoM แรงหนุนจากการเลือกตั้งในประเทศ ความคาดหวังต่อการไหลเข้าของเงินทุน และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
ไทย-ยูเออีเริ่มต้นเจรจา FTA ประชุมครั้งแรก 16-18 พ.ค.นี้ ตั้งเป้าเจรจาให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน เพื่อเป็นประตูการค้าสู่ 5 ป.ท. สมาชิก GCC ช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออก คาดปีแรกไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นลบ.
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง และยังรอดูผลประกอบการ 1Q66 ของกลุ่ม Real Sector ที่กำลังทยอยประกาศในเดือน พ.ค. นี้ ขณะที่ FED ส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยมองตลาดรับรู้เศรษฐกิจถดถอยแต่ไม่รุนแรงเกินที่คาดไว้ (Soft Landing) แต่ยังมีความเสี่ยงประเด็นเพดานหนี้ รวมทั้งฐานะการเงินของธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ ดังนั้นกลยุทธ์จึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET อยู่ระหว่างเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง และยังรอดูงบ 1Q66 ของกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Best of the best ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำ Let Profit Run
2. หาจังหวะซื้อสำหรับหุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะออกมาเติบโตดี YoY (Earnings Play) ซึ่งมองยัง outperform SET ได้ เลือก BJC ADVANC OSP ZEN
3. รอจังหวะซื้อหลังประกาศงบสำหรับหุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้และมีสัญญาณฟื้นตัวใน 2Q66 เลือก KCE MINT AOT
ขณะที่มีกลุ่มหุ้นแนะนำ “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน” เนื่องจากผลการดำเนินงานยังไม่สดใส และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ NRF LPN MST SAWAD QH KTC PSH THRE TCAP MTC KEX KISS TU CBG GFPT BTG BTS BEM JASIF SAT IIG NER
Daily focus
BDMS 1Q66 คาดกำไรปกติ 3.4 พันลบ. ลดลง 1%YoY แต่เพิ่มขึ้น 9%QoQ จากรายได้บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่พัฒนาการในตลาดต่างประเทศใหม่ๆ คาดจะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2566 คาดกำไรเติบโต 12%YoY สู่ 1.4 หมื่นลบ.
CPALL 1Q66 คาดกำไรปกติที่ 3.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น 10%YoY และ 26%QoQ อีกทั้งคาดการนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้สกุลบาทที่เสร็จสิ้นแล้วไปใช้รีไฟแนนซ์หนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐของ MAKRO จะทำให้ต้นทุนการเงินลดลง หนุนให้กำไร CPALL ปรับขึ้นได้อีก
ข่าวเด่น