เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล.อินโนเวสท์วิเคราะห์ "การฟื้นตัวถูกจำกัด"


คาด SET มีกรอบบนจำกัดบริเวณแนวต้าน 1537 และ 1546 จุด ตามลำดับ เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยหนุนและยังต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยวันจันทร์หน้าติดตามการแถลง MOU พรรคร่วมรัฐบาล นอกจากนี้ ความกังวลการขึ้นดอกเบี้ยเฟด จะกดดันดัชนีโดยมีแนวรับที่ 1517 และ 1510 จุด ตามลำดับ ประเด็นติดตามการเจรจาเพดานหนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าได้ข้อสรุปในวันอาทิตย์นี้

ประเด็นสำคัญ

FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 36.7% ที่ Fed จะขึ้น ด.บ. 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุม 13-14 มิ.ย. โดยมี จนท. Fed หลายรายกล่าวหนุนการเดินหน้าปรับขึ้น ด.บ. เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

สหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด ขณะที่ยอดขายบ้านมือสอง เม.ย. ลดลง

ปธน. ไบเดนใช้สิทธิวีโต้ร่าง กม. เรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์ จากไทย มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา

ปธ. สภาฯ สหรัฐคาดบรรลุข้อตกลงเพื่อเพิ่มหรือระงับเพดานหนี้ได้ทันเวลาที่จะจัดการลงมติในสภาผู้แทนฯ ได้ในสัปดาห์หน้า

ตลาดสินค้าเกษตร CBOT ร่วงลงจากแรงขายของกลุ่มกองทุน, จีนยกเลิกนำเข้าข้าวโพด 272,000 ตันจากสหรัฐ และรัสเซียได้ตกลงที่จะขยายข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากทะเลดำออกไปอีก 2 เดือน

บวท. ระบุ นทท. ทัวร์จีนเดินทางเข้ามาเที่ยวไทย 7 เดือน 12,805 เที่ยวบิน คาดปีนี้เกิน 46,175 เที่ยวบิน แต่ต่ำกว่าปี 62 ราว 66%

ผู้ประกอบการอสังหาฯ คาด 2Q66 ผลประกอบการอาจชะลอตัว YoY หลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ลูกค้าอาจชะลอการตัดสินใจซื้อเพื่อรอดูมาตรการของรัฐใหม่

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้น (1 เดือน) มอง SET มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังสิ้นสุดการเลือกตั้ง ส่วนระดับการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพและสูตรการจัดตั้งของรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ดีระยะถัดไป (หลัง 1 เดือน) มอง SET มีโอกาสผันผวนไปตามสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งคงต้องติดตามต่อไป โดยเฉพาะช่วงเดือน ก.ค. ซึ่งจะมีการเปิดประชุมสภาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไทย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามจากประเด็นเพดานหนี้ รวมทั้งฐานะการเงินของธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ กลยุทธ์จึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อคเป้าลงทุน

Weekly Portfolio : แม้ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว แต่ยังต้องติดตามเสถียรภาพของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งอาจกดดันให้ SET ผันผวนได้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1. หุ้น Best of the best ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำ Let Profit Run

2. หุ้นที่คาดได้รับอานิสงส์จาก Fund Flow ไหลเข้า เนื่องจากรับรู้ผลการเลือกตั้ง และจากบาทแข็งค่า เลือก BBL KBANK ADVANC

3. หุ้นที่คาดหวังจะได้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจดั้งเดิม (Old Economy) และผลการดำเนินงาน 2Q66 ยังมีแนวโน้มเติบโตดี เลือก HMPRO MAKRO MINT AP

4. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากนโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เลือก ADVANC BDMS EA AH
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่

Daily focus

BBL มองเป็นหุ้นพื้นฐานแกร่งและมีศักยภาพเติบโตที่ดี โดย 2Q66 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ (ตั้งสำรองลดลง, NII สูงขึ้น) และ YoY (NII สูงขึ้น) ส่วนทั้งปี 2566 คาดกำไรจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ 50%YoY

KCE มองราคาหุ้นปรับตัวลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ขณะที่ผลประกอบการคาดจะกลับมาเติบโตอีกครั้งใน 2H66 จาก Pent up demand โดยเฉพาะจากลูกค้าฝั่งยุโรปซึ่งคาดจะชดเชยการปรับลดราคาขายให้กับลูกค้าได้ และคาดจะดีต่อเนื่องไปถึงปี 2567 ที่มีการขยายกำลังผลิตครั้งใหญ่
 
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 19 พ.ค. 2566 เวลา : 10:48:38
29-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 29, 2024, 3:00 am