คาด SET ฟื้นตัวได้ต่อ จากสัญญาณเทคนิคที่แสดงภาพการรีบาวด์ หลังเมื่อวานหลุดระดับ 1500 จุด แล้วมีแรงซื้อกลับจนปิดบวกได้ ด้านแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1540 และ 1550 จุด ตามลำดับ ส่วนแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1516 และ 1507 จุด ตามลำดับ ที่คาดยังเป็นจุดรองรับได้ ประเด็นสำคัญ ติดตามความคืบหน้าการเจรจาเพดานหนี้สหรัฐ
ประเด็นสำคัญ
วานนี้ 8 พรรคการเมืองเซ็น MOU 23 ข้อ เรามองส่วนใหญ่เป็นไปตามตลาดคาด โดยเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร และพลังงานสะอาด แต่ยังคงมุมมองระมัดระวังกลุ่มพลัง
งาน โรงไฟฟ้า รับเหมาฯ และวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนผสมของกัญชาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากนโยบาย
สภาพัฒน์ระบุการจ้างงาน 1Q66 +2.4%YoY โดยภาคเกษตร +1.6%YoY การจ้างงานนอกภาคเกษตร +2.7%YoY จากการจ้างงานค้าส่ง ค้าปลีก โรงแรมและภัตตาคาร สอดรับกับการท่องเที่ยวขยายตัว สำหรับอัตราการว่างงานเริ่มดีขึ้นอยู่ที่ 1.05%
สมาคมตราสารหนี้ไทยระบุหุ้นกู้เอกชนผิดนัดชำระดอกเบี้ยเพิ่มกว่าหมื่นลบ. ส่งผลหุ้นกู้มีปัญหากว่า 1.1 แสนลบ.
BOI ระบุ 1Q66 มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 397 โครงการ +9%YoY มูลค่าเงินลงทุน 1.86 แสนลบ. +77%YoY
ธปท. ระบุสินเชื่อภาคธนาคาร 1Q66 ชะลอลง จากการขึ้น ด.บ. NPL-สินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น โดยกังวลหนี้ครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง จับตาสินเชื่อที่เริ่มขาดส่งกว่า 6 แสนราย เร่งพยุงไม่ให้เป็นหนี้เสีย
รมว.คลังสหรัฐระบุมีแนวโน้มสูงที่จะผิดนัดชำระหนี้หากเจรจาล้มเหลว
ปธ. Fed สาขาเซนต์หลุยส์และมินเนอาโพลิสหนุน Fed จำเป็นที่จะต้องขึ้น ด.บ. อีก 0.50% ในปีนี้ จากเงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะไม่ปรับตัวลง
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET ยังคงผันผวนตามสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยระดับการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ซึ่งคงต้องติดตามต่อไป โดยเฉพาะช่วงเดือน ก.ค. ซึ่งคาดจะมีการเปิดประชุมสภาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไทย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามจากประเด็นเพดานหนี้ รวมทั้งฐานะการเงินของธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ กลยุทธ์จึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว แต่ยังต้องติดตามเสถียรภาพของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งอาจกดดันให้ SET ผันผวนได้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Best of the best ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL
2. หุ้นที่คาดหวังจะได้ประโยชน์จากนโยบายทั้งเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (Old Economy) และแบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เลือก MAKRO MINT ADVANC BDMS EA AH
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยฯ จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ KEX กลุ่มอสังหา (LPN SIRI PSH QH) กลุ่มอาหาร (ZEN CPF GFPT TU) และ 3) หุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าโควิด-19 และเราแนะนำ Underperform เลือก KTC ASP MST THRE AAV SAT
Daily focus
BBL มองเป็นหุ้นพื้นฐานแกร่งและมีศักยภาพเติบโตที่ดี โดย 2Q66 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ (ตั้งสำรองลดลง, NII สูงขึ้น) และ YoY (NII สูงขึ้น) ส่วนทั้งปี 2566 คาดกำไรจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ 50%YoY
MAKRO 2Q66 คาดกำไรจะเติบโต YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ 2H66 คาดกำไรจะปรับตัวดีขึ้น HoH จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงหลังจากรีไฟแนน์หนี้เสร็จในช่วงปลายเดือน เม.ย.
ข่าวเด่น