คาด SET ในระยะสั้นมี Upside จำกัดบริเวณแนวต้าน 1542 และ 1550 จุด ตามลำดับ โดยสัญญาณเทคนิคในระยะสั้นเข้าสู่ภาวะ Overbought และเริ่มอ่อนแรง รวมถึงยังคงได้รับ Sentiment ลบ จากตลาดหุ้นสหรัฐจากความกังวลการเจรจาหนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ด้านแนวรับอยู่ที่ 1530 จุด หากต่ำกว่า จะเริ่มเห็นการชะลอตัวชัดขึ้น และมีแนวรับถัดไปที่ 1523 จุด
ประเด็นสำคัญ
ส.อ.ท. รายงานยอดผลิตรถยนต์ เม.ย. ที่ 117,636 คัน ลดลง 0.13%YoY ยอดผลิต 4M66 อยู่ที่ 625,423 คัน เพิ่มขึ้น 4.61%YoY ทั้งนี้ไม่มั่นใจว่าการผลิตปีนี้จะได้ตามเป้า 1.95 ล้านคันหรือไม่ สาเหตุจากตั้งรัฐบาลล่าช้า-กำลังซื้อในประเทศต่ำ
สหรัฐส่งเรือรบใหญ่สุดในโลกเทียบท่านอร์เวย์ซึ่งเป็นสมาชิกนาโต้ที่มีน่านน้ำติดรัสเซีย ขณะที่รัสเซียระบุเป็นการสำแดงกำลังที่ไร้เหตุผลและเป็นอันตราย
ปธ. สภาฯ สหรัฐ ระบุอาจพักการเจรจาขยายเพดานหนี้ในช่วงสุดสัปดาห์นี้เนื่องจากวันจันทร์ที่ 29 พ.ค. จะเป็นวัน Memorial Day ซึ่งเป็นวันหยุดของสหรัฐ
EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐรายสัปดาห์ลดลง 12.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาดว่าจะลดลงเพียง 500,000 บาร์เรล
Fed เปิดเผยรายงานการประชุมเดือน พ.ค. ระบุ คกก. Fed ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าความจำเป็นในการปรับขึ้น ด.บ. นั้นเริ่มมีน้อยลง
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจจีนระบุว่า การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในจีนมีแนวโน้มว่ากำลังจะพุ่งแตะระดับสูงสุด โดยมีผู้ติดเชื้อราว 65 ล้านรายต่อสัปดาห์ภายในเดือน มิ.ย.
NVIDIA ประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยกลุ่ม Data Center เติบโตทำสถิติใหม่ ส่งผลให้ NASDAQ-100 Futures ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1%DoD
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET ยังคงผันผวนตามสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยระดับการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ซึ่งคงต้องติดตามต่อไป โดยเฉพาะช่วงเดือน ส.ค. ซึ่งคาดจะมีการเปิดประชุมสภาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไทย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามจากประเด็นเพดานหนี้ รวมทั้งฐานะการเงินของธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ กลยุทธ์จึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว แต่ยังต้องติดตามเสถียรภาพของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งอาจกดดันให้ SET ผันผวนได้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Best of the best ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL
2. หุ้นที่คาดหวังจะได้ประโยชน์จากนโยบายทั้งเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (Old Economy) และแบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เลือก MAKRO MINT ADVANC BDMS EA AH
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยฯ จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ KEX กลุ่มอสังหา (LPN SIRI PSH QH) กลุ่มอาหาร (ZEN CPF GFPT TU) และ 3) หุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าโควิด-19 และเราแนะนำ Underperform เลือก KTC ASP MST THRE AAV SAT
Daily focus
BCH มองกำไรปกติจะดีขึ้นใน 2H66 (+HoH) และจะเริ่มเห็นการเติบโต YoY ใน 4Q66 ขณะที่ผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง หลังราคาหุ้นปรับลงมาแล้ว 19% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จนปัจจุบันเทรดที่ระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ยในอดีต
BBL มองเป็นหุ้นพื้นฐานแกร่งและมีศักยภาพเติบโตที่ดี โดย 2Q66 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ (ตั้งสำรองลดลง, NII สูงขึ้น) และ YoY (NII สูงขึ้น) ส่วนทั้งปี 2566 คาดกำไรจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ 50%YoY
ข่าวเด่น