SET ขึ้นมาทรงตัวแถวกรอบบนบริเวณ 1540 จุด แต่วอลุ่มเบาบาง ทำให้มองดัชนียังมี Upside ในระยะสั้นที่จำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1546 จุด ซึ่งหากไม่ผ่าน คาดว่าดัชนีจะกลับมาแกว่งในกรอบเดิมระหว่าง 1530-1542 จุด ส่วนกรณีขึ้นทะลุ 1546 จุด เป็นสัญญาณบวกต่อ และมีแนวต้านถัดไปที่ 1555 จุด
ประเด็นสำคัญ
ธนาคารโลกแนะนำไทยปฏิรูปภาษีแบบก้าวหน้า หนุนขึ้น VAT-ขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ช่วยเพิ่มรายได้ภาครัฐรองรับการเติบโตระยะยาว
สศค. ระบุ ศก. ไทย เม.ย. 66 ได้รับปัจจัยหนุนจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวดี เงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง
สธ. ระบุโควิด-19 ระบาดกระจุกตัวกรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยรอบนี้การระบาดในกลุ่มผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมีจำนวนเพิ่มขึ้น
กบน. เตรียมทำหนังสือถึง รบ. รักษาการและว่าที่ รบ. ใหม่ตัดสินใจกรณีคลังไม่ต่อภาษีดีเซลหลังสิ้นสุด 20 ก.ค.66 โดยหากราคาน้ำมันโลกไม่เกิน 90 เหรียญ/บาร์เรล จะรักษาฐานราคา 32 บ./ ลิตรจนถึงสิ้นปีได้ ด้วยการลดเงินกองทุนน้ำมัน ควบคู่การขึ้นภาษี 5 บ./ลิตร
ผลสำรวจ ศก. จีนพบว่าภาคการผลิตเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวหรือมีเสถียรภาพมากขึ้นในเดือน พ.ค. ขณะที่รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการจูงใจด้านภาษีใหม่แก่ธุรกิจการผลิตขั้นสูงในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้น ศก. และส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีแข่งกับสหรัฐ
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET ยังเคลื่อนไหวผันผวนและแกว่งตัวในกรอบ โดยแม้การขยายเพดานหนี้ของสหรัฐจะได้ข้อสรุป ซึ่งเป็น Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย และการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. มองจะมีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25 pbs ตามตลาดคาด แต่ประเมิน SET จะยังคงมี Upside จำกัด เนื่องจากตลาดยังคงจับตาเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทย สถานการณ์การระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ในจีน และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในยุโรป ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ช่วงสั้น SET จะได้รับ Sentiment บวกจากเพดานหนี้สหรัฐได้ข้อสรุป แต่คาด Upside ยังจำกัด เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดจาก MOU 23 ข้อที่ 8 พรรคการเมืองร่วมลงนาม เลือก BBL KTB KBANK HMPRO GLOBAL BCH CHG SPRC STANLY AH ONEE HTC TNP
2. หุ้นที่ INVX Research มีการปรับเพิ่ม Rating และ/หรือ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เลือก KKP BJC OSP
3. สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งต้องการเก็งกำไรระยะสั้นในประเด็นการเจรจาเพดานหนี้สหรัฐได้ข้อสรุป แนะนำ DELTA PTTEP BCP
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัย จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU CENTEL) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SIRI QH AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE) 3) หุ้นที่ราคาขึ้นมาสูงกว่าโควิด-19 และเราแนะนำ Underperform (AAV SAWAD MST NRF)
Daily focus
AOT ปี FY2566 (ต.ค. 65-ก.ย. 66) คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวกลับมามีกำไร 1.5 หมื่น ลบ. โดยกำไรจะเร่งตัวขึ้นในระยะถัดไป ด้วยแรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้น และการกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ
BCH มองกำไรปกติจะดีขึ้นใน 2H66 (+HoH) และจะเริ่มเห็นการเติบโต YoY ใน 4Q66 ขณะที่ผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง หลังราคาหุ้นปรับลงมาแล้ว 19% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จนปัจจุบันเทรดที่ระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ยในอดีต
ข่าวเด่น