คาด SET ยังแกว่งในกรอบระหว่าง 1521-1545 จุด หลังไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีนัก และติดตามการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้าที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ย ส่วนในประเทศยังติดตามปัจจัยด้านการเมืองเป็นหลัก ทั้งนี้ในภาพรวมดัชนีจะมีทิศทางที่ชัดขึ้น หาก breakout กรอบใดกรอบหนึ่ง
ประเด็นสำคัญ
FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 75.9% ที่ Fed จะคง ด.บ. ที่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุม 13-14 มิ.ย. และให้น้ำหนักเพียง 24.1% ที่จะขึ้น ด.บ. 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50%
ธนาคารโลกลดคาดการณ์ GDP โลกปี 2567 สู่ 2.4% จากเดิม 2.7% จากนโยบายการเงินที่เข้มงวดและวิกฤตภาคธนาคาร แต่เพิ่ม GDP โลกปี 2566 สู่ 2.1% จาก 1.7% แต่ยังต่ำกว่าปี 2565 ที่ 3.1%
EIA คาด GDP สหรัฐปีนี้โต 1.3% และปีหน้าโต 1% ลดลงจากที่คาดเดิม 1.6% และ 1.8% ส่งผลกระทบต่อปริมาณการใช้พลังงานทั้งปีนี้และปีหน้า
แอนโทนี บลิงเคน รมว. ต่างประเทศของสหรัฐ เตรียมเดินทางเยือนจีนในไม่กี่สัปดาห์หน้า เพื่อลดความกังวลความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
Gartner Inc. ระบุผลสำรวจผู้บริหาร 45% เห็นว่า ChatGPT กระตุ้นการลงทุน AI เพิ่ม องค์กรกว่า 70% อยู่ในช่วงของการสำรวจเทคโนโลยี Generative AI ขณะที่ VC ทั่วโลกลงทุนกว่า 1.7 พันล้านเหรียญ
พาณิชย์รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป พ.ค. +0.53%YoY ชะลอตัวเป็นเดือนที่ 5 และต่ำสุดในรอบ 21 เดือน หลังราคาน้ำมัน ค่าไฟ สินค้าหมวดอาหารชะลอตัวลง คาด มิ.ย. ทรงตัว ก่อนปรับลดลงต่อใกล้ระดับ 0%
สรท. คาดการส่งออกไทย พ.ค.-มิ.ย. หดตัว YoY ส่งผลให้ 1H66 หดตัว 5-6%YoY แต่คาด 2H66 การส่งออกจะเร่งตัวขึ้น คาดปี 2566 ส่งออกโต 0-1% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ขยายตัว 1-2%
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET จะเคลื่อนไหวผันผวนและยังคงมี Upside จำกัด โดยแม้ OPEC+ จะมีมติเห็นชอบร่วมกันขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันไปจนถึงปีหน้า และซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน ก.ค. ซึ่งจะเป็น sentiment บวกระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนสำหรับกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นไทย แต่คาดตลาดจะยังจับตาความเสี่ยงเกี่ยวกับสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่ การระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ในจีน และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ช่วงสั้น SET จะได้รับ Sentiment บวกจากซาอุฯ ลดการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ใน ก.ค. และโอเปกพลัสขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันจนถึงปีหน้า แต่คาด Upside ยังจำกัด เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดจาก MOU 23 ข้อที่ 8 พรรคการเมืองร่วมลงนาม เลือก BBL KTB KBANK HMPRO GLOBAL BCH CHG SPRC STANLY AH ONEE HTC TNP
2. หุ้นที่ INVX Research มีการปรับเพิ่ม Rating และ/หรือ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เลือก KKP BJC OSP
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัย จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU CENTEL) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SIRI QH AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE) และ 3) หุ้นที่เราแนะนำ Underperform หรือมีความเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม (AAV SAWAD MST NRF)
Daily focus
AOT ปี FY2566 (ต.ค. 65-ก.ย. 66) คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวกลับมามีกำไร 1.5 หมื่น ลบ. โดยกำไรจะเร่งตัวขึ้นในระยะถัดไป ด้วยแรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้น และการกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ
PSL มองช่วงสั้นราคาหุ้นจะได้ Sentiment บวกหลังวานนี้ดัชนี BDI ปรับขึ้นแรง 8.2%DoD ปิดที่ระดับ 1,016 จุด ขณะที่ 2Q66 คาดผลประกอบการจะดีขึ้น QoQ หลังค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้น แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรเล่นสั้นในราคาไม่เกิน 9.90 บาท
ข่าวเด่น