คาด SET ยังแกว่งในกรอบระหว่าง 1521-1545 จุด โดยตลาดรอติดตามการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะคงดอกเบี้ยหรือไม่ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังติดตามสถานการณ์ด้านการเมือง ทั้งนี้ ในภาพรวมดัชนีจะมีทิศทางที่ชัดขึ้น หากมีการ breakout กรอบใดกรอบหนึ่งก่อน
ประเด็นสำคัญ
FedWatch Tool เพิ่มน้ำหนักที่ Fed จะขี้น ด.บ. 0.25% ในการประชุม 13-14 มิ.ย. เป็น 30% จากเดิม 21.8% และให้น้ำหนัก 69% ที่จะคง ด.บ. จากเดิม 77% นลท. กลับมากังวล Fed จะขึ้น ด.บ. อีกครั้ง หลังจาก ธ. กลางแคนาดาและออสเตรเลียขึ้น ด.บ. วานนี้
EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่แล้วลดลง 5 แสนบาร์เรล สวนทางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล
ยอดส่งออกของจีน พ.ค. ลดลง 7.5% ส่วนยอดนำเข้า พ.ค. ลดลง 4.5% ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าลดลง 16.1% สู่ระดับ 6.581 หมื่นล้านเหรียญ ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2565
กกร. คงคาดการณ์ GDP ปีนี้ 3-3.5% จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว การส่งออกปีนี้คาดหดตัว -1 ถึง 0% เงินเฟ้อปีนี้คาดที่ 2.7-3.2% กังวลขึ้นค่าแรง 450 บ. ดันเงินเฟ้อพุ่ง ระบุตั้งรัฐบาลช้ายิ่งทำศก. ทรุด
ธพ. ระบุยอดใช้น้ำมัน 4 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 3.1% ส่งสัญญาณ ศก. ฟื้นตัว ยอดใช้น้ำมันเครื่องบินเพิ่มต่อเนื่อง คาดกลับมาใกล้เคียงปี 2562
ททท. ระบุจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 5 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 10,568,485 คน เฉพาะเดือน พ.ค. มี 1,972,033 คน
FETCO ระบุผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน พ.ค.66 ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 77.70 ลดลง 26.8%MoM มาอยู่ในเกณฑ์ซบเซา เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET จะเคลื่อนไหวผันผวนและยังคงมี Upside จำกัด โดยแม้ OPEC+ จะมีมติเห็นชอบร่วมกันขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันไปจนถึงปีหน้า และซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน ก.ค. ซึ่งจะเป็น sentiment บวกระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนสำหรับกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นไทย แต่คาดตลาดจะยังจับตาความเสี่ยงเกี่ยวกับสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่ การระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ในจีน และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ช่วงสั้น SET จะได้รับ Sentiment บวกจากซาอุฯ ลดการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ใน ก.ค. และโอเปกพลัสขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันจนถึงปีหน้า แต่คาด Upside ยังจำกัด เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดจาก MOU 23 ข้อที่ 8 พรรคการเมืองร่วมลงนาม เลือก BBL KTB KBANK HMPRO GLOBAL BCH CHG SPRC STANLY AH ONEE HTC TNP
2. หุ้นที่ INVX Research มีการปรับเพิ่ม Rating และ/หรือ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เลือก KKP BJC OSP
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัย จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU CENTEL) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SIRI QH AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE) และ 3) หุ้นที่เราแนะนำ Underperform หรือมีความเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม (AAV SAWAD MST NRF)
Daily focus
BDMS 2Q66 คาดกำไรปกติจะเติบโต YoY เนื่องจากพัฒนาการในตลาดต่างประเทศใหม่ๆ จะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโตต่อเนื่อง แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดกำไรปกติที่ 1.4 หมื่นลบ. เติบโต 12%YoY
OSP 2Q66 คาดกำไรจะฟื้นตัว QoQ ตามปริมาณขายและส่วนแบ่งตลาดที่ดีขึ้น รวมทั้งคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะฟื้นตัวหลังมีการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ปี 2566 คาดกำไรสุทธิเติบโตสูง 43.8%YoY
ข่าวเด่น