คาด SET มี downside จำกัด เมื่อต่ำกว่า 1500 จุด โดยเบื้องต้นยังใช้บริเวณจุดต่ำเดิม 1490-1500 จุด ที่คาดมีโอกาสรีบาวด์ หรือแนวรับถัดไปไม่ไกลนักบริเวณ 1480 จุด ด้านกรอบบนอยู่ที่ 1520-1525 จุด หากขึ้นทะลุผ่านจะเห็นการฟื้นตัวชัดขึ้น ประเด็นสำคัญติดตามต่อสถานการณ์ในรัสเซีย และถ้อยแถลงประธานเฟดในวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้
ประเด็นสำคัญ
สัญญาธัญพืชตลาด CBOT วันศุกร์ที่ผ่านมาปรับลดลง หลังพยากรณ์อากาศว่าพื้นที่เพาะปลูกธัญพืชในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐจะมีฝนตกปริมาณมากในสัปดาห์นี้ เอื้อต่อการเพาะปลูก หลังจากแห้งแล้งเป็นเวลานาน
จับตา ปธ. Fed ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาประจำปีของ ECB ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองซิงตรา โปรตุเกส 28 มิ.ย. เพื่อหาสัญญาณทิศทางดบ.
สหรัฐรายงาน PMI ภาคการผลิต มิ.ย. ลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เช่นเดียวกับ PMI ภาคบริการ ทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน
จีนรายงานรายได้ท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันหยุดเทศกาลเรือมังกรอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านหยวน คิดเป็น 94.9% ของก่อนโควิด บ่งชี้การบริโภคในประเทศยังชะลอตัวลง
กลุ่มทหารรับจ้าง Wagner ถอนกำลังไม่บุกกรุงมอสโกและจะมุ่งหน้าไปยังเบลารุสแทนหลังรับข้อเสนอ ปธน. เบลารุส ขณะที่รัฐบาลรัสเซียระบุจะยกเลิกดำเนินการกับหัวหน้ากลุ่มฯ ที่พยายามก่อกบฏ
ส.อ.ท. ระบุการถูก disruption-สงครามการค้า-สงครามรัสเซียยูเครน ทำให้ไทยต้องเร่งเครื่องเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน-หนุนนโยบายโมเดลเศรษฐกิจสีเขียวเป็นจุดแข็งในอนาคต
คลังอาจไม่เสนอต่อมาตรการลดภาษีดีเซลออกไป เนื่องจากห่วงขัดรัฐธรรมนูญปี 60 และมีผลผูกพันไปยังรัฐบาลชุดใหม่ ดังนั้นจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่พิจารณา
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ และมี Upside จำกัด หลังยังไม่มีปัจจัยใหม่มาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน โดยภาพรวมคาดเงินเฟ้อของสหรัฐและยุโรปจะยังกดดันให้ตลาดกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ล่าช้ากว่าตลาดคาดและการรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทยจะยังเป็นปัจจัยลบระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มองความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศยังกดดันการลงทุนทำให้ SET มี Upside จำกัด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP BDMS BEM
2. หุ้นสู้วิกฤติ ซึ่งคาดราคาจะทยอยฟื้นตัวได้ดีใน 1 เดือน หลังปรับตัวลงมาแรงเนื่องจากสิ้นสุดการเลือกตั้งไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 เลือก BH BTS CHG CPALL
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
Daily focus
BBL 2Q66 คาดกำไรเติบโต 56%YoY และ 8%QoQ ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งสุดในกลุ่มธนาคาร แรงหนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NIM ที่กว้างขึ้น อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
OR ราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยลดแรงกดดันจากการกำหนดเพดานราคา (โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล) ของรัฐบาลและค่าการตลาดของ OR โดยปี 2566 คาดกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 31%YoY จากค่าใช้จ่ายการตลาดลดลงและค่าการตลาดที่ดีขึ้น
ข่าวเด่น