ตลาดขาดปัจจัยหนุน ทำให้การรีบาวด์ทางเทคนิคฟื้นตัวได้จำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1490-1500 จุด ต้องขึ้นทะลุผ่านได้ก่อน ถึงจะเป็นสัญญาณที่ดี ด้านปัจจัยการเมืองยังกดดันตลาด โดยมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1474 และ 1465 จุด ตามลำดับ ประเด็นสำคัญ ติดตามถ้อยแถลงประธานเฟด
ประเด็นสำคัญ
สหรัฐรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน พ.ค. +1.7%MoM สวนทางที่คาดว่าจะลดลง ส่วนยอดขายบ้านใหม่ พ.ค. +12.2%MoM สูงสุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2565 และสูงกว่าที่คาด ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มิ.ย. โดย CB ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 109.7 สูงสุดนับตั้งแต่ ม.ค. 2565 และสูงกว่าคาด
API ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 มิ.ย. และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.9 ล้านบาร์เรล
ปธ. ECB กล่าวในงานเสวนาวานนี้ระบุเงินเฟ้อยุโรปยังอยู่ในระดับสูง อาจทำให้ ECB ต้องปรับขึ้น ดบ. ต่อไป ส่วนวันนี้ติดตามถ้อยแถลง ปธ. Fed
พาณิชย์รายงานยอดส่งออก พ.ค. หดตัว 4.6%YoY ลดลงเป็นเดือนที่ 8 ส่งผลให้ 5M66 ส่งออกหดตัว 5.1%YoY กดดันจากสินค้าเกษตร ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมพลิกขยายตัว คาด 3-4Q66 มีปัจจัยบวกหนุน โดยยังคงเป้าส่งออกปีนี้ที่ 1-2%
ธปท. ระบุค่าบาทแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง เศรษฐกิจเงินเฟ้อโลก และนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และจีน พร้อมผ่อนเกณฑ์ธุรกรรมในบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศได้เสรี
ครม. รักษาการ เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร เริ่มต้น 15-45 บาท
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ และมี Upside จำกัด หลังยังไม่มีปัจจัยใหม่มาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน โดยภาพรวมคาดเงินเฟ้อของสหรัฐและยุโรปจะยังกดดันให้ตลาดกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ล่าช้ากว่าตลาดคาดและการรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทยจะยังเป็นปัจจัยลบระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มองความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศยังกดดันการลงทุนทำให้ SET มี Upside จำกัด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP BDMS BEM
2. หุ้นสู้วิกฤติ ซึ่งคาดราคาจะทยอยฟื้นตัวได้ดีใน 1 เดือน หลังปรับตัวลงมาแรงเนื่องจากสิ้นสุดการเลือกตั้งไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 เลือก BH BTS CHG CPALL
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
Daily focus
BBL 2Q66 คาดกำไรเติบโต 56%YoY และ 8%QoQ ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งสุดในกลุ่มธนาคาร แรงหนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NIM ที่กว้างขึ้น อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
MINT 2Q66 คาดผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากโรงแรมในยุโรปจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดกำไรปกติที่ 6.2 พันลบ. เติบโต 209%YoY ขณะที่ประกาศเข้าซื้อหุ้น 100% ใน Sizzler มองเป็นบวกต่อโอกาสขยายสาขาในระยะยาว
ข่าวเด่น