SET ยังขาดปัจจัยหนุน และความกังวลปัจจัยการเมือง รวมถึงเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อ เป็นปัจจัยกดดันตลาด โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1450 และ 1430 จุด ตามลำดับ ด้านสัญญาณเทคนิคเข้าสู่ภาวะ oversold ทำให้มีการรีบาวด์ในบางช่วง แต่กรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1480-1490 จุด ต้องขึ้นทะลุผ่านก่อนถึงจะเป็นสัญญาณที่ดี
ประเด็นสำคัญ
ปธ. Fed ส่งสัญญาณปรับขึ้น ดบ. ใน ก.ค. และ ก.ย. เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ลดความร้อนแรงในตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตาม FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 84.3% ที่ Fed จะขึ้น ดบ. ใน ก.ค. และคาดจะคง ดบ. ใน ก.ย. พ.ย. ธ.ค.
ปธ. ECB ระบุเงินเฟ้อในยุโรปยังสูงเกินไป และมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้ ECB ต้องเดินหน้าปรับขึ้น ดบ. เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
WSJ รายงานว่า สหรัฐเตรียมออกมาตรการใหม่ในการจำกัดการส่งออกชิปไปยังประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างเร็วที่สุดในเดือน ก.ค.
ธนาคารกลางสหรัฐรายงานผลการดำเนินงานของ 23 ธนาคารใหญ่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress Test) ประจำปี
GS คาด ศก. อินเดียเติบโตสวนทางภาวะ ศก. โลกที่คาดจะถดถอย ขณะที่NBS รายงานผลกำไร บจ. ภาคอุตฯ จีนลดลง 18.8% ใน 5M66 ผลจากอุปสงค์ที่อ่อนแอลง หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
EIAรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 9.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล
ธนาคารโลกปรับเพิ่มเป้า GDP ไทยปีนี้เป็น 3.9% และคาดปี 2567-68 โต 3.6% และ 3.4% พร้อมเสนอแนะภาครัฐยุติแทรกแซงราคาพลังงาน เพราะอาจบิดเบือนเงินเฟ้อ-ไม่เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
ส.อ.ท. ระบุผลสำรวจ ผบห. พบการส่งออกติดลบช่วง 5M66 ตาม ศก.โลก ส่วน 5 เดือนที่เหลือยังท้าทาย ท่ามกลางต้นทุนที่เพิ่ม การแข่งขันสูง สินค้าคงคลังเพิ่ม พร้อมเสนอแนะภาครัฐเร่งกระตุ้นส่งออก
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ และมี Upside จำกัด หลังยังไม่มีปัจจัยใหม่มาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน โดยภาพรวมคาดเงินเฟ้อของสหรัฐและยุโรปจะยังกดดันให้ตลาดกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ล่าช้ากว่าตลาดคาดและการรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทยจะยังเป็นปัจจัยลบระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มองความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศยังกดดันการลงทุนทำให้ SET มี Upside จำกัด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP BDMS BEM
2. หุ้นสู้วิกฤติ ซึ่งคาดราคาจะทยอยฟื้นตัวได้ดีใน 1 เดือน หลังปรับตัวลงมาแรงเนื่องจากสิ้นสุดการเลือกตั้งไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 เลือก BH BTS CHG CPALL
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
Daily focus
BEM การเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเต็มรูปแบบจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น ขณะที่ 2Q66 และ 3Q66 คาดกำไรจะดีขึ้น QoQ และ YoY จากปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและจำนวนผู้โดยสาร MRT ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะมีบันทึกเงินปันผลจาก TTW และ CKP
OSP กำไรปกติน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปทุกไตรมาส โดยปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นจะช่วยหนุนให้กำไรปกติ 2Q66 เติบโต QoQ และเติบโตได้เล็กน้อย YoY จากฐานสูง จากนั้นจะเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ ใน 3Q66
ข่าวเด่น