\คาด SET แกว่งในกรอบระหว่าง 1460-1500 จุด รอการหารือเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯ ด้านการฟื้นตัวยังถูกจำกัด เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยหนุน แต่กรอบล่างบริเวณแนวรับ 1460-1470 จุด คาดยังรองรับได้ จากภาวะ oversold ทางเทคนิค
ประเด็นสำคัญ
สหรัฐรายงาน GDP 1Q66 (ครั้งสุดท้าย) เพิ่มขึ้น 2.0% สูงกว่าคาดที่ 1.4% และสูงกว่าประมาณการครั้งที่ 1 และ 2 ที่ 1.1% และ 1.3%
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วของสหรัฐลดลง 2.6 หมื่นราย อยู่ที่ 2.39 แสนราย ต่ำกว่าคาดที่ 2.65 แสนราย
ปธ. Fed ระบุยังจับตาสถานการณ์ในภาคธนาคารอย่างระมัดระวังเพื่อรับมือกับความเปราะบางที่อาจเกิดขึ้น พร้อมยืนยันภาคธนาคารมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องสูงมาก สอดคล้องผลการทดสอบ stress test ธนาคารขนาดใหญ่ 23 แห่ง ผ่านการทดสอบดังกล่าว
สศค. รายงาน ศก. ไทย พ.ค. อยู่ในเกณฑ์ดี ท่องเที่ยว-บริโภคภาคเอกชน-เงินเฟ้อลดลง หนุนดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่ม 12 เดือนต่อเนื่อง สูงสุดรอบ 39 เดือน ส่วนส่งออกดกุลดอลลาร์ยังหดตัวแต่อัตราชะลอลง MoM
ส.อ.ท. เสนอแนะค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค.2566 ไม่ควรเกิน 4.25 บาท/หน่วย หลังกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยสูงขึ้น หลุมเอราวัณผลิตเพิ่มเป็น 400 ล้านลบ.ฟุต/วัน ตั้งแต่ 28 มิ.ย.
กนอ.ระบุ 2H66 ลงทุนนิคมฯ โตต่อ ปรับเป้ายอดขายและเช่านิคมฯ ปีนี้เกิน 4,350 ไร่ อานิสงส์ทุนเคลื่อนย้ายฐานจากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ และมี Upside จำกัด หลังยังไม่มีปัจจัยใหม่มาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน โดยภาพรวมคาดเงินเฟ้อของสหรัฐและยุโรปจะยังกดดันให้ตลาดกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ล่าช้ากว่าตลาดคาดและการรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทยจะยังเป็นปัจจัยลบระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มองความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศยังกดดันการลงทุนทำให้ SET มี Upside จำกัด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP BDMS BEM
2. หุ้นสู้วิกฤติ ซึ่งคาดราคาจะทยอยฟื้นตัวได้ดีใน 1 เดือน หลังปรับตัวลงมาแรงเนื่องจากสิ้นสุดการเลือกตั้งไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 เลือก BH BTS CHG CPALL
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
Daily focus
PTTEP ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น การผลิตก๊าซฯ จากแหล่ง G1/61 เพิ่มเป็น 400 mmcfd ใน ก.ค. จาก 210 mmcfd ใน 1Q66 และคาดจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้ตามสัญญาใน เม.ย. 67 คาด Div. Yield ที่ 4-5% ราคาหุ้นยังมีส่วนลดเทียบกับสมมติฐานราคาน้ำมันที่ 70 เหรียญ/บาร์เรล
BBL 2Q66 คาดกำไรเติบโต 56%YoY และ 8%QoQ ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งสุดในกลุ่มธนาคาร แรงหนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NIM ที่กว้างขึ้น อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
ข่าวเด่น