คาด SET เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีอิทธิพลจากปัจจัยการเมืองเป็นหลัก ด้วยปัจจัยสำคัญการโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 13 ก.ค. ส่วนแนวโน้มราคามีจุดติดตามบริเวณ 1479 จุด หากต่ำกว่าเป็นสัญญาณลบในภาพรวม โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1465 จุด ด้านกรอบบนถูกจำกัดบริเวณ 1500 และ 1520 จุด ตามลำดับ หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณที่ดี
ประเด็นสำคัญ
วันนี้ กกต. พิจารณาประเด็นคุณพิธาถือหุ้นไอทีวี หลัง คกก. สรุปสำนวนแล้วเสร็จ คาดส่งศาล รธน. กระทบโหวตนายกฯ 13 ก.ค.นี้
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรระบุปัญหาหมูเถื่อนขยายวงกว้างหลังประสบปัญหาโรคระบาด ASF ราคาหมูใน ปท. ตกต่ำ ศก. เสียหายกว่า 5 หมื่นลบ.
สรรพสามิตเตรียมยกเลิกลดภาษีน้ำมันดีเซลหลังรัฐสูญเสียรายได้ 1.58 แสน ลบ. แนะ ก. พลังงานปรับไปใช้กลไกกองทุนน้ำมันแทน พร้อมทั้งจะเสนอแพ็กเกจภาษีเสนอต่อรัฐบาลใหม่ เช่น ภาษีความเค็ม-บุหรี่ไฟฟ้า
คลังประเมินงบฯ ปี 67 ล่าช้า 6 เดือน กระทบงบลงทุน 4Q66 – 1Q67 ลดลงรวม 1.4 แสนลบ. ขณะที่ GDP ปีนี้อาจกระทบเพียง 0.05% ประเมินการเบิกจ่ายปีหน้าจะใกล้เคียงเป้าหมาย
รมว. คลังสหรัฐระบุการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนได้กระทบต่อผู้บริโภค และเร็วเกินไปที่จะบอก ศก. สหรัฐจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย
จีนสั่งปรับเงิน Ant Group 3.5 หมื่นลบ., Tencent 1.5 หมื่นลบ. หลังทำผิด กม. การเงิน เป็นสัญญาณการตรวจสอบบริษัทเทคในจีนมีแนวโน้มลดลงและช่วยปูทางให้บริษัทเทคจีนกลับมาสร้างการเติบโตได้อีกครั้ง
ธพ. รายใหญ่จีนได้ปรับลด ดบ. เงินฝากสกุลดอลลาร์เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เดือน ขณะที่ทางการจีนลด ดบ. เงินฝากในรูปสกุลเงินดอลลาร์ลงจาก 4.3% เหลือ 2.8% สกัดความได้เปรียบของดอลลาร์ พยุงการอ่อนค่าของเงินหยวน
เช้าวานนี้ (7 ก.ค.) เกิดเหตุระเบิดรุนแรงและไฟไหม้บนแท่นขุดเจาะและส่งกระจายก๊าซ ของบริษัท พีเม็กซ์ บริษัทน้ำมันของรัฐบาลเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอ่าวเม็กซิโก ขนาดกำลังผลิต 1.7 แสนบาร์เรลต่อวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสได้รับแรงกดดันจาก Beige Book ของเฟดซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มของกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว อีกทั้งเงินเฟ้อของสหรัฐและอังกฤษที่ปรับตัวลงค่อนข้างช้า ขณะที่ในประเทศอยู่ระหว่างติดตามความคืบหน้าผลการโหวตนายกรัฐมนตรีของไทยในวันที่ 13 ก.ค. นี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “เน้นตั้งรับ และ Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในไทยและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “เน้นตั้งรับ และ Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP BDMS BEM
2. หุ้นพื้นฐานดีซึ่งคาดยังมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2023 มากกว่าปีละ 5% เลือก TISCO LH AP
3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำซื้อเก็งกำไรหาก SET ปรับลงมาแถว 1450 จุด สำหรับหุ้นที่คาดมีโอกาสฟื้นตัวหลังราคาปรับลงลึกจนซื้อขายด้วย PER และ PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1SD เลือก CRC GULF SCGP
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มอาหาร (TU CPF GFPT BTG) หลังมองมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดคาดดการณ์กำไรลงหลังประกาศงบ 2Q66 ซึ่งคาดภาพรวมอ่อนทั้ง YoY และ QoQ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT) และ 3) หุ้นเทคโนโลยี (DELTA HANA KCE) จากความชัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน อีกทั้งผลการดำเนินงาน 2Q66 ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า
Daily focus
PTT ราคาหุ้นผันผวนน้อยกว่าตลาด โดย 1H66 ปรับขึ้น 1.5% YTD เทียบกับ SET -10%YTD แม้ตลาดยังกังวลเศรษฐกิจโดยรวมจะส่งผลต่อการบริโภคน้ำมัน แต่การจ่ายเงินปันผลมีความสม่ำเสมอจากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้คาดรักษาผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 6%
CPALL 2Q66 คาดกำไรปกติจะเติบโต YoY โดยเกิดจากยอดขายที่ดีขึ้นทั้งธุรกิจ CVS และ CPAXT แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ 2H66 กำไรจะดีขึ้น HoH จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะลดลงหลังจากรีไฟแนนซ์หนี้ของ CPAXT เสร็จในช่วงปลายเดือน เม.ย.
ข่าวเด่น