คาด SET ในระยะสั้นมี upside จำกัด บริเวณแนวต้าน 1534 และ 1550 จุด ตามลำดับ เนื่องจากสัญญาณเทคนิคในระยะสั้นเข้าสู่ภาวะ overbought และอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงก่อนการโหวตนายกฯ ครั้งที่สอง ในวันพรุ่งนี้ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1518 จุด หากต่ำกว่าจะเห็นการพักตัวชัดขึ้น และมีแนวรับถัดไปที่ 1506 จุด
ประเด็นสำคัญ
รัสเซียไม่ต่ออายุข้อตกลงส่งออกธัญพืชยูเครนผ่านทะเลดำหลังสิ้นสุด 17 ก.ค. โดยโต้แย้งชาติตะวันตกไม่ให้สินค้าเกษตรรัสเซียออกสู่ตลาดโลก
GDP 2Q66 จีน +6.3%YoY ต่ำกว่าคาด +7.3%YoY ส่วนอัตราว่างงานกลุ่ม 16-24 ปี เพิ่ม 21.3% ใน มิ.ย. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้าน รมว. คลังสหรัฐระบุ ศก. จีนชะลอเสี่ยงลุกลามไป ปท. อื่นๆ แต่เชื่อมั่น ศก. สหรัฐไม่ถดถอย
สมาคมอสังหาฯ เตรียมเสนอรัฐบาลตั้งกองทุนส่งเสริมกำลังซื้อ ดึงกำลังซื้อกลุ่มกลาง-ล่างกลับเข้าระบบ เสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ขยายฐานธุรกิจครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
กรมชลฯ ระบุไทยอยู่ในสภาวะเอลนีโญอ่อนๆ เตรียมรับมือภัยแล้ง ปรับประมาณการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั่ว ปท. หลังน้ำไหลลงเขื่อนน้อย เพื่อการบริหารจัดการให้มีน้ำใช้ไปจนถึงฤดูฝนหน้าปี 2567
ททท. ตั้งเป้าปี 2567 สร้างรายได้ 3 ล้านลบ. แบ่งเป็น นทท. ต่างชาติ 35 ล้านคน สร้างรายได้ 1.92 ล้านลบ. และการเดินทางท่องเที่ยวใน ปท. ของคนไทย 200 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1.08 ล้านลบ.
เอกชนเสนอรัฐตรึงราคาดีเซลต่อหลังคลังไม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีฯ ดีเซล มีผล 21 ก.ค. นี้ กังวลต้นทุนการผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคเพิ่มขึ้น
บอร์ดแข่งขันทางการค้ามีมติเอกฉันท์ให้ BCP ควบรวม ESSO ได้โดยมีเงื่อนไขให้ BCP พิจารณา 30 วัน หากรับเงื่อนไขสามารถเดินหน้าควบรวมกิจการได้ คาดปิดดีลได้ภายในปลายปีนี้
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นหลัก โดยยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในระดับหนึ่ง และคาดหวังนโยบายการเงินอาจไม่ตึงตัวมากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองไทย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก BBL ADVANC OSP BDMS BEM
2. หุ้นพื้นฐานดีซึ่งคาดยังมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2023 มากกว่าปีละ 5% เลือก TISCO LH PTT
3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำหุ้นเก็งกำไร หากประเด็นการเมืองในไทยเปลี่ยนแปลง เลือก GULF GPSC CPALL SIRI SC
4. หาก SET ปรับลงมาแถว 1450 จุด มองเป็นโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาปรับลงลึกจนซื้อขายด้วย PER และ PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1SD เลือก CRC SCGP OR
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มอาหาร (TU CPF GFPT BTG) หลังมองมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดคาดการณ์กำไรลงหลังประกาศงบ 2Q66 ซึ่งคาดภาพรวมอ่อนทั้ง YoY และ QoQ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT) และ 3) หุ้นท่องเที่ยวที่อาจได้รับกระทบเชิงลบจากประเด็นการเมือง
Daily focus
BBL 2Q66 คาดกำไรเติบโต 56%YoY และ 8%QoQ ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งสุดในกลุ่มธนาคาร แรงหนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NIM ที่กว้างขึ้น อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
LH 2Q66 คาดกำไรฟื้นตัว QoQ และ 2H66 จะเริ่มมี Presales ฟื้นตัวจากแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ที่ตั้งเป้า 3.5 หมื่นลบ. (+8% YoY) ซึ่งกว่า 80% จะเปิดใน 2H66 อีกทั้งมี Upside Risk จากแผนขายสินทรัพย์ 2 ชิ้นในกลุ่มโรงแรมให้กับ LHHOTEL ช่วง 4Q66
ข่าวเด่น