แรงขายทำกำไรลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนการโหวตนายกฯ ครั้งที่สองในวันพฤหัสฯ หน้า สร้างสัญญาณลบทางเทคนิคทำให้ดัชนีมีแนวโน้มอ่อนตัวลงได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1515 และ 1500 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวถูกจำกัดที่กรอบบนบริเวณแนวต้าน 1534 และ 1545 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
สหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 228,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าคาดและต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่ยอดขายบ้านมือสอง มิ.ย. ลดลง 3.3%MoM และลดลง 18.9%YoY ทางด้าน Fed ฟิลาเดลเฟียรายงานดัชนีภาคการผลิต ก.ค. ต่ำกว่าคาด โดยหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11
ทูตจีนประจำสหรัฐระบุจีนไม่ต้องการทำสงครามเทคฯ แต่พร้อมตอบโต้ หากสหรัฐใช้มาตรการเพิ่มเติม
TSMC ผู้ผลิตชิปตามสัญญารายใหญ่ที่สุดของโลกและ supplier รายใหญ่ของ Apple รายงานกำไรสุทธิ 2Q66 ลดลง 23.3% เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกฉุดความต้องการชิปที่ใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ
ญี่ปุ่นลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ขยายตัว 1.3% คาดเงินเฟ้อยังเกินเป้าหมาย BOJ ที่ 2% ซึ่งเป็นการยอมรับสัญญาณที่เพิ่มขึ้นของการเปลี่ยนแปลงในกรอบความคิดเงินฝืดของประเทศ
วันนี้ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลหารือการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ครั้งต่อไป 27 ก.ค. โดยพรรคก้าวไกลระบุพร้อมที่จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นหลัก โดยยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในระดับหนึ่ง และคาดหวังนโยบายการเงินอาจไม่ตึงตัวมากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองไทย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก BBL ADVANC OSP BDMS BEM
2. หุ้นพื้นฐานดีซึ่งคาดยังมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2023 มากกว่าปีละ 5% เลือก TISCO LH PTT
3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำหุ้นเก็งกำไร หากประเด็นการเมืองในไทยเปลี่ยนแปลง เลือก GULF GPSC CPALL SIRI SC
4. หาก SET ปรับลงมาแถว 1450 จุด มองเป็นโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาปรับลงลึกจนซื้อขายด้วย PER และ PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1SD เลือก CRC SCGP OR
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มอาหาร (TU CPF GFPT BTG) หลังมองมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดคาดการณ์กำไรลงหลังประกาศงบ 2Q66 ซึ่งคาดภาพรวมอ่อนทั้ง YoY และ QoQ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT) และ 3) หุ้นท่องเที่ยวที่อาจได้รับกระทบเชิงลบจากประเด็นการเมือง
Daily focus
AP 2Q66 คาดกำไรเติบโตเล็กน้อย QoQ จากอัตรากำไรขั้นต้นโครงการแนวราบที่แข็งแกร่ง แต่จะลดลง YoY อย่างไรก็ดีล่าสุเราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 เพิ่มขึ้นสู่ระดับที่ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 6.24 พันลบ. เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งขึ้น (และทำจุดสูงสุดใหม่)
CPAXT 2Q66 คาดกำไรปกติเติบโต 7%YoY แต่หดตัว 19%QoQ ตามฤดูกาล อย่างไรก็ดี 2H66 คาดกำไรเติบโตเร่งตัวขึ้น โดยเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ HoH จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จในช่วงปลาย เม.ย. และการดำเนินงานของ Makro และ Lotus’s ที่ปรับตัวดีขึ้น
ข่าวเด่น