เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลง จากการปล่อยสินเชื่อและภาวะการเงินที่จะตึงตัวต่อเนื่องตามผลสะสมของการขึ้นดอกเบี้ย ภาคการผลิตและอุปสงค์สินค้าที่จะยังซบเซา แรงหนุนจากภาคบริการที่เริ่มมีสัญญาณแผ่วลง แรงส่งจากเศรษฐกิจจีนที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานตึงตัวและการเติบโตที่แข็งแกร่งของค่าจ้างในช่วงครึ่งแรกของปีจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคในระยะต่อไป และช่วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของโลกมีแนวโน้มชะลอลงเร็ว ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงเร็ว ความเสี่ยงที่ราคาพลังงานจะกลับมาเร่งตัวในช่วงปลายปีมีจำกัดตามอุปสงค์พลังงานโลกและจีนที่ยังอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มชะลอลงช้า ตามค่าจ้างที่ยังสูงและตลาดแรงงานตึงตัว ธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักจึงมีแนวโน้มขยายวงจรขึ้นดอกเบี้ยไปถึงไตรมาส 3 และจะคงอัตราดอกเบี้ยสูงไว้ตลอดปี เพื่อให้ผลของดอกเบี้ยส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในช่วงปลายเดือน ก.ค. สู่ 5.25-5.5% ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกนานกว่า โดย ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย อีก 2 ครั้งในช่วงปลายเดือน ก.ค. และ ก.ย. สู่ Terminal rate 4% สำหรับ BOE มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยจนถึงเดือน ก.ย. สู่ Terminal rate 5.75% สูงสุดในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Advance Economies : AEs)
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี (H2) มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและขยายตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี (H1) จากแรงหนุนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยฟื้นตัวใกล้เคียงประมาณการ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดยเฉพาะหมวดบริการ กอปรกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น สำหรับการส่งออกจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วง H2 จากที่หดตัวต่อเนื่องใน H1 อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำจากหลายปัจจัย อาทิ
1) การกลับมาของเอลนีโญที่เห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตร โดยข้อมูลน้ำฝนในเดือน มิ.ย. สะท้อนว่าพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก อาจประสบภาวะฝนแล้งรุนแรงมากกว่าที่ SCB EIC คาดไว้ในเดือน พ.ค. 2) การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง อาจเป็นไปได้ที่จะล่าช้าถึงปลายเดือน ต.ค. หลังพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 3) ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังเปราะบางจากรายได้ไม่พอรายจ่าย และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้อีกนาน มีแนวโน้มจะก่อหนี้เพิ่มเติมมากกว่ากลุ่มอื่น และ 4) ภาคธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางสูงขึ้น SCB EIC คาดว่าบริษัทราว 16% มีความเสี่ยงเป็นบริษัทผีดิบ (Zombie firms) ในปี 2566 ส่วนหนึ่งจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตรฐานการให้สินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น
เงินเฟ้อทั่วไปของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวและผลจากปัจจัยฐาน สำหรับนโยบายพยุงราคาพลังงานในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภาระต่างๆ ที่ภาครัฐเคยสนับสนุนไว้และการรักษาสมดุลของค่าครองชีพประชาชน มากกว่าการปรับตัวตามทิศทางราคาพลังงานโลก ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มจะชะลอลงช้ากว่าจากการทยอยส่งผ่านต้นทุนจากผู้ประกอบการมายังราคาผู้บริโภค
SCB EIC คาดว่านโยบายการเงินไทยจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ Terminal rate ที่ 2.5% ในไตรมาส 3 ตามปัจจัยเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจัยเงินเฟ้อที่แม้จะกลับมาอยู่ในกรอบแต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนและแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ และปัจจัยดอกเบี้ยที่แท้จริงควรกลับเป็นบวก ภาวะการเงินไทยจึงมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นต่อเนื่อง ในระยะสั้นเงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าและผันผวนสูงจากหลายปัจจัย ในระยะสั้นคาดว่าระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางเงินบาท ในช่วงปลายปีคาดว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าที่ราว 32.80-33.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่จะปรับลดลง เงินดอลลาร์สหรัฐที่จะกลับมาอ่อนค่าหลัง Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0723
โดย : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC EIC Online: www.scbeic.com Line : @scbeic
ข่าวเด่น