เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ธปท.เผย ผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงินและ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน วันที่ 7 กรกฎาคม 2566


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
 
 
ระบบการเงินไทยปัจจุบันยังมีเสถียรภาพ แต่ยังเผชิญกับความเสี่ยงที่อาจสูงขึ้นในระยะต่อไปจาก (1) ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและ SMEs ในภาคการผลิตและการค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และ (2) ความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจผ่านตลาดตราสารหนี้ จากความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ระดมทุนบางรายที่อาจสูงขึ้น 
 
 
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนส่งผลให้รายได้และฐานะการเงินโดยรวมของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมีแนวโน้มปรับดีขึ้น อย่างไรก็ดี ครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมถึงยังต้องติดตามฐานะการเงินของ SMEs ในกลุ่มที่ฟื้นตัวช้าจากช่วงสถานการณ์โควิด 19 และกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลก โดยที่ประชุมประเมินว่า แม้ความเปราะบางของภาคครัวเรือนและ SMEs ดังกล่าวอาจส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อบางกลุ่มมีแนวโน้มด้อยลงบ้าง แต่สถาบันการเงินสามารถบริหารจัดการหรือดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้ และจะไม่นำไปสู่หนี้เสียที่
เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด (NPL cliff)
 
 
ตลาดตราสารหนี้มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ที่มีมูลค่าสูงกว่าปีก่อนและการเพิ่มขึ้นของจำนวนบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือและแนวโน้มอันดับเครดิต (credit rating and outlook) ในระยะหลังจากปัจจัยเสี่ยงเฉพาะราย ขณะที่ตลาดทุนมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและปัญหาธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน โดยที่ประชุมมีความเห็นว่า แม้ผลกระทบต่อระบบการเงินยังอยู่ในวงจำกัดและตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนโดยรวมยังมีเสถียรภาพ แต่ในระยะข้างหน้า ยังต้องติดตามพัฒนาการของตลาดการเงินและความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกตราสาร รวมถึงให้ความสำคัญกับการร่วมมือระหว่างองค์กรกำกับดูแลในการประเมินผลกระทบ การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ และการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างรวดเร็วและทันการณ์หากเกิดสถานการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งสถาบันการเงิน ตลาดการเงิน บริษัทประกันภัย และระบบการเงิน ในเวลาเดียวกัน อาทิ ปัญหาจากการดำเนินงานของธุรกิจขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงมาตรการยกระดับการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของผู้ที่เกี่ยวข้องให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น อาทิ บริษัทมหาชน และ/หรือ บริษัทจำกัดที่ออกหลักทรัพย์ในตลาดทุน บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัทจัดอันดับเครดิต 
เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน
 
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นว่า แม้สถาบันการเงิน ตลาดการเงิน และบริษัทประกันภัย โดยรวมมีสภาพคล่องและฐานะการเงินที่เข้มแข็งเพียงพอรองรับสถานการณ์ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาดมากภายใต้การทดสอบภาวะวิกฤต (macro stress test) ประจำปี 2566 ที่ ธปท. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้จัดทำร่วมกัน แต่ในระยะต่อไป การเตรียมการรับมือของผู้กำกับดูแลควรครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจมีรูปแบบแตกต่างจากที่เคยเกิดขึ้น เช่น กรณีวิกฤตสภาพคล่องจากการไหลออกของเงินฝากอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นในอดีต  หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้ระบบการเงินได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นในไทยอยู่ในระดับต่ำ 
 
 
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินและคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน จะร่วมกันติดตามและประเมินความเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมใช้นโยบายที่เหมาะสมและทันการณ์ในการดูแลระบบการเงินไทยให้มีเสถียรภาพ สามารถสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 24 ก.ค. 2566 เวลา : 18:54:29
28-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 28, 2024, 11:48 am