คาด SET พักตัว โดยกรอบบนยังมี upside จำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1535 และจุดสูงเดิม 1545 จุด ตามลำดับ ขณะที่การอ่อนตัวเกิดขึ้นได้อยู่ จากความไม่แน่นอนด้านการเมือง และนักลงทุนในตลาดรอประเมินทิศทางดอกเบี้ย จากการประชุมเฟดวันที่ 25-26 ก.ค. นี้ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1517 และ 1510 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
วันนี้ประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะเสนอยกเลิก MOU เดิมและจะกำหนดวาระใหม่เพิ่มเติมเข้ามา รวมทั้งหาข้อสรุปเลื่อนโหวตนายกฯ รอบ 3 วันที่ 27 ก.ค. หรือไม่ หลังผู้ตรวจการฯ ส่งศาล รธน. วินิจฉัยมติสภาห้ามเสนอชื่อซ้ำ
ส.อ.ท. ระบุดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม มิ.ย. เพิ่มขึ้น MoM เป็นการเพิ่มครั้งแรกในรอบ 3 เดือน จากการบริโภคภาคเอกชน-การท่องเที่ยวขยายตัว
สหรัฐรายงานดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการ ก.ค. อยู่ที่ 52.0 ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน แต่สูงกว่า 50 บ่งชี้กิจกรรมทางธุรกิจยังขยายตัวได้ต่อเป็นเดือนที่ 6
เลขาฯ UN เรียกร้องรัสเซียกลับสู่ข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากยูเครนผ่านเส้นทางทะเลดำหลังถอนตัวก่อนหน้านี้ ส่งผลราคาข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลืองพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 99.8% ที่ Fed จะขึ้น ดบ. 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุม 25-26 ก.ค. นี้ และให้น้ำหนัก 39.9% ที่ Fed จะลด ดบ. 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุม 19-20 มี.ค. 2567
ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นของยูโรโซน ก.ค. ลดลงต่ำกว่าคาด ทำระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน อีกทั้งต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้กิจกรรมทางธุรกิจหดตัว ขณะที่การประชุม ECB 27 ก.ค. คาดขึ้น ดบ. 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
คกก. การพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนประกาศมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภาคเอกชน พร้อมสนับสนุนด้านการเงินแก่โครงการต่าง ๆ
Apple ขอให้ supplier ผลิตและส่งมอบ iPhone 15 ราว 85 ล้านเครื่องในปีนี้ ใกล้เคียงปีก่อน แม้อุปสงค์ผู้บริโภคลดลงและมีความเสี่ยงด้านอุปทานก็ตาม
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเริ่มคลายกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในระดับหนึ่ง และกำลังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของ FED, ECB และ BOJ ในสัปดาห์นี้ โดยในส่วนของ FED คาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้และตลาดได้รับรู้ไปแล้ว ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET ยังถูกกดดันจากปัจจัยในประเทศ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเริ่มคลายกังวลในระดับหนึ่ง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY และ QoQ เลือก BBL ADVANC BEM GULF
2. หุ้นเก็งกำไรที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 มีโอกาสดีกว่าตลาดคาด เลือก HMPRO SCGP
3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำหุ้นเก็งกำไร หากประเด็นการเมืองในไทยเปลี่ยนแปลง เลือก CPAXT BJC TNP AMATA OSP HTC KCE HANA
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มอาหาร (TU CPF GFPT BTG) หลังมองมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดคาดดการณ์กำไรลงหลังประกาศงบ 2Q66 ซึ่งคาดภาพรวมอ่อนทั้ง YoY และ QoQ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT) และ 3) หุ้นท่องเที่ยวที่อาจได้รับกระทบเชิงลบจากประเด็นการเมือง
Daily focus
SCGP มองกำไรที่คาดจะดีขึ้นในอีก 1-2 ไตรมาสข้างหน้าจะช่วยจำกัด downside risk โดย 2Q66 คาดกำไรปกติจะเติบโต 15%QoQ จากต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนถ่านหินที่ลดลง และดีขึ้นต่อเนื่องใน 3Q66 จากการกลับมาดำเนินงานเต็มไตรมาสของธุรกิจในไทยและอินโดนีเซีย
BEM มองราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นต่อจากแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่ง โดย 2Q66 คาดกำไรจะเติบโต 19%QoQ และ 40%YoY ขณะที่ 3Q66 คาดกำไรยังโตดีต่อเนื่อง QoQ และ YoY แรงหนุนจากปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและจำนวนผู้โดยสาร MRT ที่เพิ่มขึ้น
ข่าวเด่น