หากใครจำสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนในปีที่แล้วได้ ที่เราได้เห็นการคว่ำบาตรทางเศรษฐ กิจรัสเซียจากพี่ใหญ่อย่างสหรัฐ และพันธมิตรชาติตะวันตก ด้วยการทั้งตัดรัสเซียออกจากระบบ Swift ที่ทำให้รัสเซียและประชาชนไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศได้ การอายัดเงินสำรองระ หว่างประเทศของรัสเซียที่เก็บไว้ในรูปแบบของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐกว่า 11.55 ล้านล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจรัสเซียตกต่ำอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับรัสเซียนั้นเป็นตัวอย่างที่เห็นภาพอย่างชัดเจน ว่าความมั่นคงของเศรษฐกิจของประเทศต่างๆนั้นมีปัจจัยที่ขึ้นอยู่กับทางสหรัฐด้วย เนื่องด้วยการถือเงินสกุลดอลลาร์ Back Up เอาไว้เป็นเงินสำรองของประเทศทั่วโลก หากทำอะไรให้พี่ใหญ่ไม่พอใจ ก็มีโอกาสที่จะโดนอายัดเงินสำรองของประ เทศเหมือนกับรัสเซียได้ สิ่งที่ประเทศต่างๆจะป้องกันความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ณ เวลาปัจจุบัน ก็คือการเทขายเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐให้ได้มากที่สุด
และนอกจากการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุแบบนี้ ก็มีกลุ่มประเทศที่ชื่อว่า BRICS เริ่มมองเห็นปัญหาดังกล่าว และอยากจะเป็นอิสระจากอำนาจของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นทั้งรัสเซีย จีน บราซิล เริ่มหันมาใช้เงินสกุลท้องถิ่นมากขึ้น (โดยเฉพาะรัสเซียที่ตีแต้มกลับมาจากการโดนคว่ำบาตรได้ด้วยการกำหนดให้ใช้เงินสกุลรูเบิลในการซื้อน้ำมันจากประเทศของตนเท่านั้น) และหากจะใช้เงินสกุลต่างชาติกลุ่มประเทศ BRICS ก็หันมาใช้เงินสกลุหยวนของจีนแทน นอกจากนี้ ก็ยังมีการประชุมเตรียมสร้าง Global Reserve Currency หรือสกุลเงินสำรองตัวใหม่ เพื่อคานอำนาจของ World Bank ตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว
เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าตัวอย่างที่รัสเซียโดนคว่ำบาตร ทำให้ทั้งโลกประจักษ์ว่าการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์ตลอดเวลานั้นนับว่าเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมไปถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ส่งผลให้สกุลเงินอื่นๆของโลกอ่อนค่าลงไปหมด อีกทั้งการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐนี้ สหรัฐสามารถใช้เป็นอาวุธทางการเมืองต่อต้านชาติอื่นที่เห็นต่างจากตนได้ ฉะนั้นการปลดอาวุธประเทศมหาอำนาจที่ค้ำฟ้าอยู่ในตอนนี้ ก็เห็นทีว่าจะต้องปลดแอกประเทศออกจากการใช้เงินสกุลดอลลาร์แต่เพียงเท่านั้น
โดยสกุลเงิน BRICS Currency ที่กำลังจะถือกำเนิดนี้ มีฟังก์ชั่นคล้ายกับเงินสกุลยูโร ด้วยกลุ่มประเทศ BRICS จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาร่วมกัน มีความโปร่งใสตรวจสอบได้จากทุกธนาคารทั่วโลก มีระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนที่พัฒนามาแล้วตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งจะมีทั้งการตั้งธนาคารส่วนกลางขึ้นมาที่ชื่อว่า NDB มีการสร้างระบบชำระเงิน BRICS Pay และระบบจ่ายเงินระหว่างกันด้วยเงินสกุลท้องถิ่นโดยไม่ต้องทำการแลกเงิน ซึ่งจะเป็นเงินสกุลดิจิทัลที่เรียกว่า BRICS Crytocurrency
โดยในความคืบหน้าของปีนี้ กลุ่มประเทศ BRICS ที่ประกอบด้วย รัสเซีย จีน อินเดีย บราซิล และ แอฟริกาใต้ ก็มีแนวโน้มที่จะขยายความร่วมมือไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งตอนนี้คิดเป็น 19 ประเทศด้วยกัน แสดงความสนใจเข้าร่วมในกลุ่ม BRICS ซึ่งจะเข้าร่วมประชุมซัมมิตครั้งที่ 15 ในแอฟริกาใต้ ระหว่างวันที่ 22-24 ส.ค.ที่จะถึงนี้ โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แอลจีเรีย อียิปต์ บาห์เรน อินโดนีเซีย ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน มีการทำเรื่องร้องขอเข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งโดยเฉพาะประเทศอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ ซาอุดีอาระเบีย ก็เห็น Movement อย่างชัดเจนด้วยการที่ธนาคารกลางแลกเปลี่ยนเงินสำรองจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐไปเป็นทองคำก่อนหน้านี้แล้ว
การขยายตัวของกลุ่ม BRICS ทั้ง 19 ประเทศนี้ นับเป็นการท้าชนอำนาจกลุ่มมหาอำนาจโลก G7 ที่ประกอบด้วย ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี และแคนาดา อย่างเต็มสูบ แม้ GDP Per Capita หรือรายได้ต่อหัวของประชากรในประเทศกลุ่ม BRICS จะยังน้อยกว่าประชากรในประเทศกลุ่ม G7 แต่ถ้าดูยอด PPP (Purchasing Power Parity) หรืออำนาจกำลังซื้อนั้นแซงหน้ากลุ่ม G7 ไปแล้ว เพราะอย่างประเทศจีน และอินเดีย ที่อยู่ในกลุ่มประเทศ BRICS ก็มีกำลังซื้ออยู่ที่อันดับ 2 และ 3 ของโลกเข้าไปแล้ว ซึ่งรวมกันแล้วก็ถือว่ากำลังซื้อนั้นมากกว่า 31.5% เทียบกลับกลุ่มประเทศ G7 มีกำลังซื้อคิดรวมเป็นสัดส่วน 30% เท่านั้น
อย่างไรก็ตามด้านของ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐกล่าวย้ำว่าสกุลเงินดอลลาร์ ยังคงแข็งแกร่ง ประเทศอื่นยังคงไม่มีทางเลือก และต้องใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในการชำระสินค้าต่อไป เพราะในทุกวันนี้ มากกว่า 88% ของกิจกรรมการเงินทั่วโลกยังใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอยู่ และยังมีสัดส่วนเงินสำรองแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 58% ของโลก
ข่าวเด่น