ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น หลังตลาดกังวลอุปทานตึงตัวจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร (OPEC+) นอกจากนี้ นักลงทุนเริ่มหันกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อาทิเช่น หุ้น และน้ำมัน หลังคาดธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปใกล้จะสิ้นสุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาส 2/66 เติบโตขึ้นกว่า 2.4% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.8% หลังการบริโภคในประเทศยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ตลาดลดความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในประเทศยุโรป อาทิเช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส เผชิญกับการชะลอตัวลงทั้งในภาคอุตสาหกรรมและในภาคบริการ
ปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติของสหรัฐ ปรับลดลงกว่า 8 เดือนติดต่อกัน โดย Baker Hughes รายงานปริมาณการขุดเจาะสำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 28 ก.ค.ปรับลดลง 5 แท่นมาอยู่ที่ระดับ 664 แท่น ซึ่งนับเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ มี.ค. 65
ตลาดจับตาการประชุมของ OPEC+ ในวันที่ 4 ส.ค.ว่าจะมีการออกนโยบายเพิ่มเติมหรือไม่ โดยนักวิเคราะห์คาดซาอุฯ จะขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตอีก 1 เดือน
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสิงคโปร์ที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในภูมิภาค โดยเฉพาะออสเตรเลีย
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังตลาดกังวลอุปทานตึงตัว หลังมีการปิดซ่อมบำรุงฉุกเฉินของโรงกลั่นหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา รวมถึง ปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังสิงคโปร์ที่ปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน
ข่าวเด่น