บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK ผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2566 กำไรสุทธิ 65.4 ล้านบาท ลดลง 74.1% จาก 252.7 ล้านบาท รายได้รวม 836.9 ล้านบาท ลดลง 15.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ลดลงตามประกาศฯ ของ สคบ. และนโยบายที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของบริษัทฯ มีพอร์ตลูกหนี้รวม 4,190.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จาก 4,158.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 เผย ธปท. คาดเศรษฐกิจประเทศขยายตัวลดลงจาก 3.7% เป็น 3.6% จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะยังคงมีปัจจัยลบหลายด้านที่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย ปัญหาเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องปรับอัตราดอกเบี้ย รวมถึง ธปท. ที่ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 2.25% ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว TK จะระมัดระวังในนโยบายการขยายธุรกิจและเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ถือเงินสด 1,900 ล้านบาท เตรียมขยายตลาดในประเทศหลัง ธปท. ประกาศ พ.ร.ฎ. กำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติงบการเงินสำหรับรอบบัญชีสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2566 บริษัทฯ มีรายได้ครึ่งแรกของปี 2566 รวม 836.9 ล้านบาท ลดลง 15.1% จาก 985.5 ล้านบาท กำไรสุทธิรวม 65.4 ล้านบาท ลดลง 74.1% จาก 252.7 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนช่วงเวลาเดียวกัน มีลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิรวม 4,190.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จาก 4,158.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 โดยในไตรมาส 2/2566 มีกำไรสุทธิ 23.3 ล้านบาท ลดลง 80.2% จาก 117.5 ล้านบาท รายได้รวม 421.8 ล้านบาท ลดลง 14.3% จาก 492.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
รายได้เช่าซื้อไตรมาส 2 ในปี 2566 มีจำนวน 306.7 ล้านบาท ลดลง 15.8% จาก 364.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ลดลงตามที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกประกาศเรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2566 อีกทั้ง TK ใช้นโยบายบริหารความเสี่ยงด้วยการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศ ระหว่างที่รอความชัดเจนจากทางธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะประกาศหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่จะถึงนี้
นายประพล พรประภา กรรมการและรองผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวลดลงจากการคาดการณ์เดิมที่ 3.7% เมื่อพฤศจิกายน 2565 เป็น 3.6% เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวม ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องจากการขยายตัวด้านการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 25.5 ล้านคน และจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 2.38 ล้านล้านบาทในปี 2566 นี้ ส่งผลดีต่อรายได้ของแรงงานและภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยว แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้าน เช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบต่าง ๆ เช่น ต้นทุนค่าไฟฟ้า ค่าแรงงาน และสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ย นโยบายราคาพลังงานที่ยังคงสูง รวมถึงการลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อปรับนโยบายสู่สมดุล จากปัญหาเงินเฟ้อที่สูงและที่ปรับตัวลงอย่างช้า ๆ ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เร็วและแรง จากดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา Fed Fund Rate นับตั้งแต่มีนาคม 2565 มีการปรับตัวขึ้นจาก 0% ไปที่ระดับ 5.25% - 5.50% เป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 11 ติดต่อกัน และถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2550 สูงสุดในรอบ 22 ปี
นอกจากนี้ ทาง Credit Rating Agency 2 แห่ง จาก 3 แห่ง ปรับลด Credit Rating มีเพียง Moody’s ที่ยังคง Credit Rating ที่ Aaa โดย Standard & Poor’s (S&P) ได้ปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงสู่ระดับ AA+ ในปี 2554 และ Fitch Ratings ได้ปรับลดอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ของสหรัฐฯ ลงสู่ระดับ AA+ เมื่อ 1 สิงหาคม 2566 ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% โดยเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 9 ติดต่อกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของยูโรโซนเท่ากับ 3.75% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2544 สูงสุดในรอบ 22 ปี ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ธปท. ได้ประกาศปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.25% เป็น 2.25% เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ผลจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว TK จึงยังคงต้องระมัดระวังในนโยบายการขยายธุรกิจรวมถึงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น
“เป้าหมายของเราคือการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้นกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจและขยายพอร์ตจะต้องมีการบริหารความเสี่ยงด้วยการติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกที่เหนือการควบคุมและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้สอดรับ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การบริหารจัดการภายในเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ควบคู่กับการบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการบริการต้นทุนทางการเงิน โดยในไตรมาส 2 ปี 2566 มีต้นทุนทางการเงิน 9.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% จาก 8.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการกู้เงินในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่บริษัทฯ มียอดปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีสถานะเงินสดและเงินฝากอยู่ที่ระดับประมาณ 1,900 ล้านบาท สำหรับใช้ขยายพอร์ตเช่าซื้อและสินเชื่อในประเทศในทันที โดยสามารถใช้เงินดังกล่าวขยายพอร์ตได้อย่างน้อย 12-18 เดือนโดยไม่ต้องใช้เงินกู้ เป็นการล็อกต้นทุนทางการเงินเพื่อผลประกอบการที่ดีในระยะกลางและระยะยาว” นายประพลกล่าว
อนึ่ง ณ ไตรมาส 2 ปี 2566 TK มีสำรองลูกหนี้จำนวน 336.4 ล้านบาท โดยมีลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน ที่ 6.8% และมี Coverage Ratio ที่ 109.9% ซึ่งเปรียบเทียบกับ ณ สิ้นปี 2565 ที่มีสำรองลูกหนี้ จำนวน 344.4 ล้านบาท ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน ที่ 7.0% และมี Coverage Ratio ที่ 109.9% ณ ไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 6,556.9 ล้านบาท ลดลง 0.02% จาก 6,558.3 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 949.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% จาก 800.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ สิ้นปี 2565 ทั้งนี้ D/E ณ ไตรมาส 2 ปี 2566 อยู่ที่ 0.17 เท่า ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ที่ 0.14 เท่า
ข่าวเด่น