เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บมจ.ไทยออยล์วิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ "ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว หลังได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ยังตึงตัว ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง"


ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 80 – 86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 84 – 90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
 
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (14 - 18 ส.ค. 66)
 
ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว หลังได้รับแรงสนับสนุนจากสภาวะอุปทานตึงตัวเนื่องจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับลดลงจากอุปสงค์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงกดดันจากการขายทำกำไรจากราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง 

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้
 
 
อุปทานน้ำมันดิบยังมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง หลังกลุ่มโอเปกนำโดยซาอุดิอาระเบียขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตไปอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปอีก 1 เดือนเป็นสิ้นสุดเดือน ก.ย. 66 ขณะที่ รัสเซียปรับลดการส่งออกลง 0.3 ล้านบาร์เรลในเดือน ก.ย. 66 โดย OPEC รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบ (OPEC) ในเดือน ก.ค. 66 อยู่ที่ระดับ 27.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน นำโดยการลดลงของซาอุดิอาระเบียที่ปรับลดลง 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 9.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน 
 
 
ปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดย EIA รายงานปริมาณน้ำมันเบนซินและดีเซลคงคลังวันที่ 4 ส.ค. 66 ปรับลดลง 2.7 และ 1.7 ล้านบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 
 
 
รายงานประจำเดือน ก.ค. 66 ที่ผ่านมา สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คงอัตราการเจริญเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันในปี 2023 โดยคาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปแตะระดับ 102.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน นำโดยการเพิ่มขึ้นของจีน ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ OPEC ว่าความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 
 
 
วิกฤตราคาพลังงานคาดว่าจะส่งช่วยสนับสนุนให้ราคาพลังงานยังคงอยู่ในระดับสูง โดยราคาก๊าซธรรมชาติของยุโรปปรับตัวมากขึ้นที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการเกิดสงครามรัสเซียและยูเครน หลังแรงงานในออสเตรเลียมีการขู่หยุดประท้วงผลิตของโรงงานผลิตก๊าซ LNG 2 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตคิดเป็นระดับ 10% ของการส่งออกทั่วโลก ซึ่งหากราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มีการหันมาใช้น้ำมันแทนและทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น
 
 
อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. 66 ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยหรือปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อชะลอผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 3.2% และ 4.7% ตามลำดับ ซึ่งหากมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยคาดการณ์ว่าจะส่งกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
 
 
เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับความเสี่ยงในการชะลอตัวลงและคาดจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน สะท้อนจากตัวเลขการส่งออกและการนำเข้าในเดือน ก.ค. 66 ที่ปรับลดลง 14.5% และ 12.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามลำดับ สะท้อนถึงอุปสงค์ภายนอกประเทศที่ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของจีนปรับลดลง 0.3% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวลง
 
 
เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยและชะลอตัวลง หลัง Fitch Rating ปรับลดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ ลงจากระดับ AAA สู่ระดับ AA+ จากความกังวลต่อหนี้สาธาณะของรัฐบาลซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ Moody ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กของสหรัฐฯ เนื่องจากเริ่มมีความเสี่ยงในการระดมทุนและกำไรที่เริ่มปรับลดลงจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง
 
 
เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนเดือน ก.ค. 66 ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือน ก.ค. 66 และ GDP ไตรมาส 2 ของยุโรป

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (7 - 11 ส.ค. 66)  
 
 
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 0.37 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 83.19 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.57 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 86.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 87.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดยังได้รับแรงสนับสนุนจากอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มตึงตัวจากการขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบีย 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่อไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย. 66 และการปรับลดการส่งออกของรัสเซียที่ราว 300,000 บาร์เรลต่อวันในเดือน ก.ย. 66 นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครนยังทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังประธานาธิบดียูเครนกล่าวว่า ยูเครนจะยิงมิสไซล์ไปที่ท่าเรือรัสเซียบ้างเพื่อเป็นการตอบโต้ หากกองทัพรัสเซียยังคงปิดล้อมน่านน้ำยูเครนและคุกคามมิให้เรือขนส่งธัญพืชเข้าออกท่าเรือของยูเครน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจาก ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 4 ส.ค. 66 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 0.6 ล้านบาร์เรล 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 14 ส.ค. 2566 เวลา : 13:59:29
28-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 28, 2024, 7:51 am