คาด SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ ด้วย sentiment บวกตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัว และความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล โดยวันนี้ติดตามการโหวตนายกฯ หากราบรื่น จะเป็นปัจจัยบวกยิ่งขึ้น ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1530 และ 1540 จุด ตามลำดับ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1520 และ 1510 จุด หากไม่ต่ำกว่า ยังเป็นสัญญาณที่ดีอยู่
ประเด็นสำคัญ
• วานนี้พรรคเพื่อไทยแถลงร่วมกับ 11 พรรคตั้งรัฐบาล 314 เสียง เสนอคุณเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยในการประชุมสภาฯ เพื่อโหวตเป็นนายกฯ คนที่ 30 ในวันนี้
• สภาพัฒน์รายงาน GDP 2Q66 +1.8%YoY ชะลอจาก 1Q66 ที่ +2.6% ส่งออกหดตัวต่อเนื่อง 3 ไตรมาส โดยปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงเหลือ 2.5-3.0% จากเดิมคาด 2.7-3.7% ผลจากตั้งรัฐบาลช้า รายได้ท่องเที่ยวต่ำคาด และปรับลดส่งออกปีนี้ -1.8% จาก -1.6%
• Fitch Ratings ระบุ ธพ. ใหญ่ของไทยยังได้ประโยชน์จากรายได้ฟื้นตัว ปริมาณธุรกิจดีขึ้น การปรับขึ้น ดบ. ขณะที่ฐานะเงินกองทุนและอัตราส่วนสำรองหนี้สูญรองรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างดี
• กยท. ระบุสถานการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นกับแหล่งผลิตยางพาราสำคัญของโลก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ส่งผลให้ผลผลิตยางพารามีแนวโน้มลดลง 2% ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568
• Fitch Ratings เตือนอาจทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของจีนจากปัจจุบันที่ A+ จากอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ของจีนปรับเพิ่มขึ้น
• S&P ปรับลดอันดับเครดิต 5 ธนาคารเล็กของสหรัฐ จากผลกระทบเชิงลบ ดบ. ที่อยู่ระดับสูงและการไหลออกของปริมาณเงินฝาก
• การนัดหยุดงานประท้วงที่โรงงานก๊าซ LNG ในออสเตรเลียอาจเริ่มได้เร็วสุด 2 ก.ย. หากยังไม่บรรลุข้อตกลงการจ่ายเงินได้ ส่งผลราคาขายส่งก๊าซในยุโรปปรับขึ้น โดยออสเตรเลียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ที่สุดของโลก
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1500-1550 โดยหากการโหวตนายกวันที่ 22 ส.ค. ได้ข้อสรุปมีโอกาสที่ดัชนีปรับขึ้นทดสอบกรอบบนที่ 1550-1560 และคาดจะเห็น Fund Flow เริ่มไหลกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ดี บรรยากาศลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้นคาดยังถูกกดดันจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและจีน รวมทั้งจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดที่การประชุมแจ็กสันโฮล (24-26 ส.ค.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ทำให้คาด SET ยังมี Upside จำกัด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET มี Upside จำกัด โดยแม้ลุ้นปัจจัยการเมืองในประเทศมีพัฒนาการดีขึ้น แต่ยังถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ดังนี้
1) 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรมสำหรับโอกาสเก็งกำไรใน 2H66 ซึ่งคาดกำไรจะเติบโต HoH และ YoY เลือก PTT BCP KCE HANA BDMS BCH AOT ERW
2) หุ้นที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H66 ซึ่งคิดเป็น Div. Yield ราว 2% เลือก SPALI (XD 22 ส.ค.) LH (XD 24 ส.ค.) HTC (XD 24 ส.ค.) AH (XD 29 ส.ค.)
3) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์ Fund Flow ไหลกลับ เลือก KBANK GULF CRC HMPRO
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
Daily focus
KBANK มองเป็นหุ้นที่จะได้อานิสงส์จาก Fund Flow ไหลกลับหากสถานการณ์การเมืองไทยชัดเจนขึ้น ขณะที่ 3Q66 คาดกำไรจะลดลงเล็กน้อย QoQ (ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นและกำไรจากเครื่องมือทางการเงินลดลง) และทรงตัว YoY ส่วนทั้งปี 66 คาดกำไรเติบโต 102%YoY
KCE มองผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยคาด 2H66 กำไรจะเติบโตจากการขยายกำลังผลิตของผลิตภัณฑ์ Special grade PCB ที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น และการมีต้นทุนที่คาดจะลดลง โดยเฉพาะราคาทองแดงในตลาดโลก และค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มลดลง
ข่าวเด่น