เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล.อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ปรับขึ้นได้ sentiment ยังดี"



คาด SET มีแนวโน้มปรับขึ้นได้ต่อ โดยได้รับ sentiment บวก จากตลาดหุ้นสหรัฐ และปัจจัยหนุนด้านการเมือง โดยถัดไปรอติดตามรายชื่อ ครม. ด้านแนวโน้มราคา ระยะสั้นมีแนวต้าน 1555 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณบวกมากขึ้น โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1562 จุด ด้านแนวรับอยู่ที่ 1540 และ 1530 จุด ตามลำดับ คาดยังเป็นจุดรองรับได้

ประเด็นสำคัญ

• ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้น ส.ค.ของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.4 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน จากระดับ 52.0 ใน ก.ค. 

• EIA รายงานสต็อกน้ำมันเบนซินสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 900,000 บาร์เรล

• อิหร่านเตรียมจะเพิ่มการผลิตน้ำมันต่อไป หลังความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐที่ดีขึ้นช่วยผ่อนคลายแรงกดดัน

• ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-บริการขั้นต้นยูโรโซนเดือน ส.ค. หดตัวต่ำสุดตั้งแต่เดือน พ.ย. 63

• ผลประกอบการ 2QFY24 ของ NVIDIA ขึ้นทำสถิติสูงสุดทั้งรายได้และกำไร จากความต้องการสินค้าสำหรับ AI

• ททท. ยังคงเป้านักท่องเที่ยวปี 66 ไว้ที่ 25-30 ล้านคน โดย 7M66 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวไทยแล้ว 15,391,104 คน

• สสว. รายงานดัชนี SMESI เดือน ก.ค. อยู่ที่ระดับ 52.0 เพิ่มจากระดับ 50.9 ในเดือน มิ.ย. ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นตามการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่สูงในช่วงวันหยุดยาว รวมถึง นทท. ต่างชาติเข้ามาต่อเนื่อง

• ธปท. เตรียมปรับประมาณการ ศก. ใน ก.ย.นี้ จากปัจจัยภายนอกกระทบ หนี้สินครัวเรือนสูงฉุดกำลังซื้อ ด้านพาณิชย์กังวงลปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จีนกระทบท่องเที่ยว-ส่งออกไทยชะลอตัว

กลยุทธ์การลงทุน
 
มอง SET ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1500-1550 โดยแม้สถานการณ์การเมืองไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนและคาดเห็น Fund Flow เริ่มไหลกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่ระยะสั้นคาดตลาดหุ้นทั่วโลกยังถูกกดดันจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและจีน รวมทั้งจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดที่การประชุมแจ็กสันโฮล (24-26 ส.ค.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ทำให้คาด SET ยังมี Upside จำกัด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อคเป้าลงทุน

Weekly Portfolio : มอง SET มี Upside จำกัด โดยแม้ลุ้นปัจจัยการเมืองในประเทศมีพัฒนาการดีขึ้น แต่ยังถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ดังนี้

1) 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรมสำหรับโอกาสเก็งกำไรใน 2H66 ซึ่งคาดกำไรจะเติบโต HoH และ YoY เลือก PTT BCP KCE HANA BDMS BCH AOT ERW

2) หุ้นที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H66 ซึ่งคิดเป็น Div. Yield ราว 2% เลือก HTC (XD 24 ส.ค.) AH (XD 29 ส.ค.)

3) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์ Fund Flow ไหลกลับ เลือก KBANK GULF CRC HMPRO

ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)

Daily focus

BCH แนวโน้มกำไรเร่งตัวขึ้นใน 2H66 โดยคาดกำไร 3Q66 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ และทำระดับสูงสุดของปีนี้ใน 4Q66 หนุนจากจำนวนผู้ป่วยคนไทยและรายได้บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการปรับค่าบริการเฉลี่ยขึ้น และการปรับอัตราเหมาจ่ายรายหัวผู้ประกันตนฯ เพิ่มขึ้น

BGRIM แนวโน้มกำไรกลับสู่ภาวะปกติจากต้นทุนพลังงานลดลงและการปรับอัตราค่าไฟฟ้าสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิง โดย 2H66 คาดได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตโรงไฟฟ้า SPP ใหม่และโครงการ SPP Replacement และธุรกิจโซลาร์ในเกาหลีใต้
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 24 ส.ค. 2566 เวลา : 10:42:45
28-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 28, 2024, 5:31 am