มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือน ก.ค. 2023 อยู่ที่ 22,143.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -6.2%YOY ใกล้เคียงเดือนก่อนที่หดตัว -6.4%YOY โดยรวมมูลค่าส่งออก 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 163,313.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือหดตัว -5.5%YOY
ภาพรวมการส่งออกรายสินค้าหดตัวทุกกลุ่ม ภาพรวมการส่งออกรายสินค้าในเดือน ก.ค. หดตัวต่อเนื่องทุกกลุ่ม โดย (1) สินค้าเกษตรหดตัว -7.7%YOY หดตัวรุนแรงขึ้นจาก -7.4%ในเดือนก่อน โดยการส่งออกยางพาราหดตัวต่อเนื่อง 12 เดือนที่ -37.8% ขณะที่ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งขยายตัวได้ดีต่อเนื่องสองเดือนติดต่อกันที่ 14.2% (เดือน มิ.ย.) และ 5.3% (เดือน ก.ค.) หลังจากหดตัวแรงในเดือน พ.ค.ตามผลผลิตจากภาคใต้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง การส่งออกข้าวสามารถพลิกกลับมาขยายตัวได้ 18.8% ในเดือนนี้หลังจากเดือนก่อนหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน (2) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่อง -11.8%YOY หลังจากหดตัว -10.2% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกน้ำตาลทรายหดตัวมากถึง -30.3% หลังจากขยายตัวสูงสองเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์หดตัวมากถึง -62.7% หดตัวสูงต่อเนื่องจากสองเดือนก่อน (3) สินค้าอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง -3.4%YOY หลังจากที่ขยายตัวได้ครั้งแรกในรอบ 8 เดือนในเดือน พ.ค. ตามการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่หดตัว -31.8% ต่อเนื่อง 10 เดือน อย่างไรก็ดี หากหักผลของการส่งออกทอง อาวุธ และอากาศยาน ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้สะท้อนภาพการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง พบว่าสินค้าส่งออกอุตสาหกรรมหดตัวเพียง -1.3% ใกล้เคียงเดือนก่อน ขณะที่ (4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัวรุนแรง -35.7%YOY หดตัวต่อเนื่องจาก -25.5% ในเดือนก่อน จากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปที่หดตัว -38%
ภาพรวมตลาดส่งออกหลักยังผันผวนสูง การส่งออกไปจีนกลับมาหดตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดเพื่อนบ้านยังน่าห่วง การส่งออกไปตลาดหลักส่วนใหญ่ยังผันผวนสูง โดย (1) ตลาดจีนพลิกกลับมาหดตัวอีกครั้งที่ -3.2%YOY หลังจากขยายตัวได้ 4.5% ในเดือนก่อน จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางที่หดตัวแรงขึ้น (-36.1%) และเม็ดพลาสติก (-14%) และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-29.6%) ที่หดตัวต่อเนื่อง แม้การส่งออกผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกไปยังตลาดจีนที่สำคัญที่สุดจะยังสามารถขยายตัวได้ที่ 6.7% (2) ตลาด ASEAN5 และ CLMV หดตัวรุนแรงต่อเนื่อง -18.3% และ -26.5% ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกสำคัญในตลาด ASEAN หดตัวถึง 8 กลุ่มสินค้าจากทั้งหมด 10 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล น้ำตาลทราย เครื่องดื่ม และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขณะที่รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าสำคัญเพียง 2 กลุ่มที่ขยายตัวได้ (3) ตลาดอื่นที่สามารถขยายตัวได้ในเดือนนี้ อาทิ ฮ่องกง (9.6%) ตะวันออกกลาง (8.5%) ออสเตรเลีย (2.7%) และสหรัฐฯ (0.9%)
ดุลการค้ากลับมาขาดดุลอีกครั้ง แม้มูลค่าการนำเข้าจะหดตัวรุนแรง มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน ก.ค. อยู่ที่ 24,121 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -11.1% รุนแรงขึ้นจาก -10.3% ในเดือนก่อน หากพิจารณามูลค่าการนำเข้าหักทองคำ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้สะท้อนการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจริง มูลค่าการนำเข้าหดตัว -7.8% หดตัวน้อยลงจากเดือนก่อนที่ -11.4% หากพิจารณาในรายละเอียดพบว่า สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (-24.4%YOY, CTG -11.1%) สินค้าเชื้อเพลิง (-27.2%YOY, CTG -5.7%) หดตัวต่อเนื่อง การนำเข้าสินค้าทุน (5.8%YOY, CTG 1.2%) และสินค้าอุปโภคบริโภค (6.8%YOY, CTG 0.6%) พลิกกลับมาขยายตัว ขณะที่มูลค่านำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งขยายตัวดีต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และขยายตัวสูงสุดในรอบ 25 เดือนที่ 93%YOY หรือ CTG 3.2% ทั้งนี้ดุลการค้าในระบบศุลกากรในเดือนนี้กลับมาขาดดุลอีกครั้งที่ -1,977.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเกินดุลเล็กน้อยที่ 57.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนก่อน ดุลการค้าในระบบศุลกากรในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2023 ขาดดุลทั้งสิ้น -8,285.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การส่งออกสินค้าไทยในระยะต่อไปยังน่าห่วงและอาจแย่กว่าคาดจากเศรษฐกิจจีนที่แผ่วลง แม้ SCB EIC มองการขยายตัวเศรษฐกิจโลกในปี 2023 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นที่ 2.4% (เดิม 2.1%) ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด แต่ยังเป็นการขยายตัวในระดับต่ำเทียบกับปีก่อน อีกทั้ง เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปียังมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้าจะเป็นความเสี่ยงด้านต่ำสำคัญของการส่งออกไทยในระยะต่อไป โดยดัชนี Flash Manufacturing PMI ในเดือน ส.ค.ของประเทศคู่ค้าสำคัญหดตัวต่อเนื่อง นำโดย Eurozone Manu facturing PMI ที่ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 43.7 UK Manufacturing PMI ลดลงมาอยู่ที่ 42.5 (45.3 ในเดือน ก.ค.) ขณะที่ US Manufacturing PMI หดตัวรุนแรงขึ้นที่ระดับ 47.0 (49.0 ในเดือน ก.ค.) ในขณะที่เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่ปรับตัวลดลงทั้งภาคการผลิตและบริการ ท่ามกลางความเสี่ยงใหม่จากการผิดนัดชำระเงินของบริษัทอสังหาฯ และบริษัทการเงินขนาดใหญ่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน และคาดว่าจะกดดันการฟื้นตัวของส่งออกไทยในหลายกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไทยที่พึ่งพาตลาดจีนสูงและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของสินค้าที่จีนส่งออก เช่น ยางพารา ไม้ยางพารา ปิโตรเคมี คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และชิ้นส่วนยานยนต์ (รูปที่ 4)
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเสี่ยงด้านต่ำจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนที่มีอยู่สูง SCB EIC ยังมองการส่งออกของไทยในช่วงท้ายปีจะสามารถกลับมาขยายตัวได้จากปัจจัยฐานต่ำ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี เพราะมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 เฉลี่ยอยู่ที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 7 เดือนแรกของปีนี้ รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้น เช่น ข้าว จากนโยบายระงับการส่งออกข้าวของอินเดียและปัญหาสภาพอากาศที่คาดว่าจะส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวของโลกปรับสูงขึ้นในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ SCB EIC อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ส่งออกอย่างใกล้ชิดและจะเผยแพร่การประมาณการใหม่ในเดือน ก.ย.นี้
รูปที่ 1 : ภาพการส่งออกรายสินค้าโดยส่วนใหญ่ยังหดตัว ในขณะที่รถยนต์และส่วนประกอบขยายตัวได้ดีในเดือนนี้
รูปที่ 2 : ภาพรวมตลาดส่งออกหลักยังผันผวนสูง ตลาดส่งออกจีนและญี่ปุ่นพลิกมาขยายตัวได้ ขณะที่ตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปกลับมาหดตัวอีกครั้ง
รูปที่ 3 : การส่งออกเครื่องคอมฯ ทองคำไม่ขึ้นรูป เคมีภัณฑ์ และยางพาราทำให้การส่งออกเดือนนี้หดตัวมาก ขณะที่การส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ หม้อแปลงไฟฟ้า และข้าวยังขยายตัวได้
ข่าวเด่น