ทิศทางราคาทองคำ
ราคาทองคำเมื่อวานนี้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาอ่อนแอลง โดยเมื่อวานนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ADP Non-Farm Employment Change, Prelim GDP q/q, Prelim GDP Price Index q/q และ Goods Trade Balance ออกมาลดลงจากเดิม ขณะที่ Pending Home Sales m/m ออกมาเพิ่มขึ้นจากเดิมขณะที่ดัชนีดอลลาร์เมื่อวานนี้เปิดที่ 103.56 จุด ก่อนจะลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 102.94 จุด ขณะที่เช้านี้อยู่ที่ 103.11 จุด โดยจะเห็นได้ว่าหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาอ่อนแอลง กดดันให้ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าหลุดระดับ 103 จุด ลงมาทันที และราคาทองคำปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญด้านบนที่ระดับ 1,945 เหรียญ เข้าสู่แนวโน้มทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง โดยเมื่อวานนี้ราคาทองคำกลับขึ้นมายืนยันแนวโน้มทิศทางขาขึ้นในระยะสั้น กลาง และยาวได้ สำหรับวันนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ Core PCE Price Index m/m หรือ ดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งคาดการณ์ว่าจะออกมาใกล้เคียงเดิม ขณะที่เมื่อวานนี้กองทุนทองคำ SPDR ซื้อเข้า 0.87 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 890.1 ตัน ในส่วนของค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง หลังจากที่ดีดตัวขึ้นยืนอยู่เหนือ 35 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อววานนี้กลับลงมาแข็งค่าอย่างรวดเร็วหลุดระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ลงมา โดยเช้านี้อยู่ที่ 34.93 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง -0.01 % มาอยู่ที่ระดับ 4.89% อย่างไรก็ดี ภาพรวมราคาทองคำยังคงผันผวนตามกระแสข่าวที่เข้ามา ด้านภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีการชะลอตัว และค่าเงินเยนของญี่ปุ่นที่อ่อนค่าลงมามาก ขณะที่ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าลงมาได้ จากความคาดหวังการเมืองที่เริ่มจะดีขึ้น
วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค
ราคาทองคำโลกกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,920 เหรียญได้อย่างแข็งแกร่ง และทดสอบแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1,945 เหรียญ ทำให้ภาพรวมในระยะสั้น กลาง และยาวของราคาทองคำยืนยันกลับมาเป็นแนวโน้มทิศทางขาขึ้น โดยจะเห็นได้จาก Indicators และ Momentum ต่างๆ กลับทิศทางอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน โดยวันนี้คาดว่าราคาทองคำโลกจะมีแนวรับที่ 1,930 เหรียญ และแนวต้านที่ 1,970 เหรียญ ในแนวโน้มทิศทางขาขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนที่ถือครองสถานะ Short ปรับทิศทางการลงทุน และบริหารความเสี่ยงให้ดี ขณะที่ภาพรวมของราคาทองไทยเริ่มกลับมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นเช่นเดียวกัน จากการที่ราคาทองไทยสามารถทะลุเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น กลาง และยาวขึ้นมาได้ หลังจากที่ราคาทองไทยเคลื่อนตัวในทิศทาง Sideways Down ต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 3 เดือน โดยราคาทองไทยไม่สามาถรทะลุเส้นค่าเฉลี่ยระยะกลางและระยะยาวขึ้นมาได้ ขณะที่ในตอนนี้ราคาทองไทยสามารถกลับขึ้นมาทะลุได้ โดยมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 32,500 บาทต่อบาททองคำ และมีแนวรับอยู่ที่ 31,900 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทองไทยมีจุดสูงสุดเดิมอยู่ที่ 32,900 บาทต่อบาททองคำ ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม และมีโอกาสสูงที่ราคาทองไทยจะกลับไปทดสอบจุดสูงสุดเดิม จึงแนะนำให้นักลงทุนที่ถือครองสถานะ Short อยู่ให้ระมัดระวังความเสี่ยงให้ดี ขณะที่ทองคำไทยที่ซื้อขายในรูปสกุลเงินบาท (ทั้ง 96.50% และ 99.99%) มีแนวโน้มเข้าสู่ขาขึ้นเช่นเดียวกัน โดยสามารถทะลุเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นและระยะกลางขึ้นมาได้ และมีโอกาสเข้าทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่บริเวณ 32,950 บาทต่อบาททองคำ
สำหรับ Gold Online Futures คาดจะมีกรอบแนวรับ 1,940 เหรียญ และแนวต้าน 1,980 เหรียญ และ Gold Comex คาดจะมีกรอบแนวรับ 1,960 เหรียญ และแนวต้าน 2,000 เหรียญ สำหรับราคาทองคำไทยมีแนวรับที่ 31,900 บาท/บาททองคำ และมีแนวต้านที่ 32,300 บาท/บาททองคำ
Gold Futures Series Q23 จะมีแนวรับที่ระดับ 32,300 บาท และแนวต้านที่ระดับ 32,600 บาท
โดยเน้นย้ำนักลงทุนว่า ราคาทองคำและราคาฟิวเจอร์สอาจจะแตกต่างกันประมาณ 10 - 30 เหรียญ ดังนั้น การวิเคราะห์หรือ Arbitrage จะต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้
แนะนำ Open Long เทรดซื้อขายตามกรอบแนวโน้มทิศทางขาขึ้น ลงซื้อขึ้นขาย ตามการแกว่งตัวของราคาระหว่างวัน และติดตามตัวเลข Non-Farm Employment Change สหรัฐฯ วันพรุ่งนี้
- นักลงทุนที่ถือ Long Position
เก็งกำไรในกรอบ เข้าซื้อตามแนวรับ และปิดทำกำไรตามแนวต้าน
- นักลงทุนที่ถือ Short Position
ทยอยปิดสถานะทำตามกรอบแนวรับเมื่อราคาลงมา ลดความเสี่ยงของพอร์ต ยังไม่แนะนำให้เปิดสถานะเพิ่ม หากอยากเปิดสถานะใหม่ควรทำบริเวณแนวต้าน เน้นเทรดระยะสั้นๆ และมีจุด Stop Loss
ข่าวเด่น