SET ลงมาหาแนวรับบริเวณ 1556-1560 จุด ซึ่งอาจมีการรีบาวด์สลับได้บ้าง และได้ sentiment บวก หลังได้รายชื่อ ครม. แล้ว อย่างไรก็ตาม สัญญาณเทคนิค ยังแสดงถึงการพักตัว ทำให้การฟื้นตัวถูกจำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1570 และ 1580 จุด ตามลำดับ ทั้งนี้ กรณีต่ำกว่า 1556 จุด จะเป็นสัญญาณลบในระยะสั้นต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1550 จุด
ประเด็นสำคัญ
• สหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ส.ค. เพิ่มขึ้น 1.87 แสนตำแหน่ง สูงกว่าคาดที่ 1.7 แสนตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานที่ 3.8% สูงสุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2565 และสูงกว่าคาดที่ 3.5% ด้าน ISM รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต ส.ค. หดตัวเดือนที่ 10
• FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 93% ที่ Fed จะคง ดบ. ในการประชุม 19-20 ก.ย. และให้น้ำหนัก 7% ที่จะขึ้น ดบ. 0.25% สู่ 5.50-5.75%
• วันนี้ผู้นำรัสเซียและตุรกีเตรียมหารือฟื้นข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากยูเครนผ่านเส้นทางทะเลดำที่เมืองโซชิ ซึ่งเป็นเมืองท่าริมทะเลดำ
• Visa-Mastercard เตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตจากร้านค้า คาดร้านค้าต่างๆ แบกรับต้นทุนเพิ่ม 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
• ธปท. รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) ส.ค. 66 ที่ 48.9 จาก 49.3 ใน ก.ค. จากความเชื่อมั่นการผลิตผลประกอบการลดลง
• ททท. เปิด 5 เฟสพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่าการลงทุน 2.4 แสนลบ. เพิ่มการรองรับผู้โดยสารจาก 120 เป็น 150 ล้านคนต่อปี
• ราคาส่งออกข้าวของไทยปรับขึ้นกว่า 30 ดอลลาร์ต่อตัน WoW และขึ้นกว่า 100 ดอลลาร์ต่อตัน YTD จากสภาวะเอลนีโญทำให้ปริมาณข้าวเข้าสู่ตลาดน้อยลงจนทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น
• ปธ. สภาฯ ระบุแถลงนโยบายรัฐบาล 11 ก.ย. โดย 7 ก.ย. นี้ประชุมวิป 3 ฝ่าย
• คาด ครม. ชุดใหม่ จะลดราคาน้ำมันดีเซลโดยลดภาษีสรรพสามิต ส่วนเบนซินช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม และลดค่าไฟโดยยืดชำระหนี้ กฟผ.
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET แกว่งตัวในกรอบ 1550-1600 ระหว่างรอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบายบริหารประเทศ ทั้งนี้แม้ภาพรวมบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะได้รับ sentiment เชิงบวกจากสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้น และคาดจะเห็น Fund Flow เริ่มไหลกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านภาคบริการและการค้าของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง รวมถึงภาวะเงินฝืด น่าจะยังเป็นแรงกดดัน SET ให้มี Upside จำกัด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
Weekly Portfolio : มอง SET แกว่งในกรอบรอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบาย แต่ยังมีความเสี่ยงภายนอกกดดัน Upside กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้นที่เหมาะลงทุนระยะกลาง แนะนำ 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรม ซึ่งคาด 2H66 กำไรจะเติบโต HoH และ YoY เลือก PTT BCP KCE HANA BDMS BCH AOT ERW
2) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นช้า เลือก มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ (CPALL CPAXT HTC CRC) มาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (GULF KTB) และเก็งกำไรมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ (LH)
3) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์ Fund Flow ไหลกลับ เลือก KBANK CPN
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
ล็อคเป้าลงทุน
BCP คงมุมมองบวกต่อแนวโน้มกำไรระยะยาว โดยจะมี ESSO เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ทั้งนี้เรามีการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจากเดิม 44 บาท สู่ 51 บาท เพื่อสะท้อนมูลค่าส่วนเพิ่มจากการถือหุ้น 65.99% ใน ESSO
CPAXT 2H66 คาดกำไรโตเด่นสุดในกลุ่มฯ (เพิ่มขึ้น YoY และ HoH) แรงหนุนจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังจากรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จในเดือน เม.ย. อีกทั้งยอดขายจะดีขึ้นจากธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C ด้วยการผนึกกำลังทางธุรกิจมากขึ้น
ข่าวเด่น