SET สัญญาณเทคนิคระยะสั้นเข้าสู่ภาวะ oversold แล้ว ทำให้ในช่วงนี้ คาดว่าดัชนีมี downside จำกัด บริเวณแนวรับ 1540 และ 1535 จุด ตามลำดับ ซึ่งใช้เป็นจุดติดตามสำหรับภาพการฟื้นตัวกลับ ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1555 จุด หากขึ้นทะลุผ่านจะเห็นการฟื้นตัวชัดขึ้น โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1560 จุด
ประเด็นสำคัญ
• Goldman Sachs คาดมีโอกาส 15% ที่ ศก. สหรัฐจะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า ลดลงจากโอกาส 20% ที่คาดก่อนหน้านี้ เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐชะลอตัวลง อาจทำให้ Fed ยุติปรับขึ้น ดบ.
• ซาอุดิอาระเบียจะขยายเวลาปรับลดกำลังผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ 1 ล้านบาร์เรล/วัน จนถึงสิ้นปีนี้ ส่วนรัสเซียจะขยายเวลาปรับลดการส่งออกน้ำมันสู่ตลาดโลกลง 300,000 บาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้
• สกนช. เตรียมเสนอ 2 แนวทางลดราคาพลังงานให้รัฐบาลใหม่ คือ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อช่วยลดภาระกองทุนฯ และใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ที่มีวงเงินกู้เหลือ 5.5 หมื่นลบ. มาใช้อุดหนุนราคา
• ธปท. ระบุ ศก.-เงินเฟ้อต่ำคาด เตรียมปรับ GDP ลง นโยบายการเงินเปลี่ยนจาก smooth takeoff สู่ Landing อย่างมีเสถียรภาพ
• ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย ส.ค. 66 ที่ 108.41 + 0.55%MoM และ +0.88%YoY หลักๆ มาจากการสูงขึ้นของสินค้าในกลุ่มพลังงาน
• กรมสรรพสามิตเตรียมปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน นำไปลดหย่อนภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐ-ยุโรปได้
• นายกฯ เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา 11 ก.ย. ส่วนประชุม ครม. 12 ก.ย. จะมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนเรื่องพลังงานออกมา ขณะที่แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบ. คาดภายใน 1 ก.พ. 67
• รมว. คมนาคมระบุนโยบายรถไฟฟ้า 20 บ. ตลอดสายจะเห็นเป็นรูปธรรมในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยต้องดึงงบประมาณเร่งโครงการลงทุน มุ่งลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์เป็นเป้าหมายสำคัญ
กลยุทธ์การลงทุน
มอง SET แกว่งตัวในกรอบ 1550-1600 ระหว่างรอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบายบริหารประเทศ ทั้งนี้แม้ภาพรวมบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะได้รับ sentiment เชิงบวกจากสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้น และคาดจะเห็น Fund Flow เริ่มไหลกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านภาคบริการและการค้าของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง รวมถึงภาวะเงินฝืด น่าจะยังเป็นแรงกดดัน SET ให้มี Upside จำกัด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET แกว่งในกรอบรอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบาย แต่ยังมีความเสี่ยงภายนอกกดดัน Upside กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้นที่เหมาะลงทุนระยะกลาง แนะนำ 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรม ซึ่งคาด 2H66 กำไรจะเติบโต HoH และ YoY เลือก PTT BCP KCE HANA BDMS BCH AOT ERW
2) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นช้า เลือก มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ (CPALL CPAXT HTC CRC) มาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (GULF KTB) และเก็งกำไรมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ (LH)
3) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์ Fund Flow ไหลกลับ เลือก KBANK CPN ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
DARILY FOCUS
KCE มองน่าสนใจที่สุดในกลุ่มฯ จากเห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นใน 2H66 และต่อเนื่องไปยังปี 67 ทั้งจากดีมานด์ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับรถยนต์ที่ฟื้นตัวจากการลดสินค้าคงคลัง ขณะที่ Valuation ยังมีส่วนลดเมื่อเทียบกับ PE mean ในอดีต
BCP คงมุมมองบวกต่อแนวโน้มกำไรระยะยาว โดยจะมี ESSO เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ขณะที่ 3Q66 คาดกำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ แรงหนุนจาก GRM และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
ข่าวเด่น