เดนทัล คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าขยายธุรกิจเพิ่ม เตรียมเปิดศูนย์ศัลยกรรมกระดูกขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ มั่นใจได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าที่มีปัญหาช่องปาก และความผิดปกติของใบหน้า คาดผลประกอบการปี 2566 โตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 15% เหตุรายได้เพิ่มจากการขยายธุรกิจ และแผนปรับเพิ่มลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามกระแสท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ยังแรงต่อเนื่อง
นายพรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D เปิดเผยว่า จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจให้บริการด้านทันตกรรม กลุ่มบริษัท เดนทัล จึงมีแผนขยายธุรกิจเพื่อให้บริการลูกค้าได้ครบวงจร โดยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โรงพยาบาลทันตกรรมกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล (BIDH) ได้เตรียมเปิดศูนย์ศัลยกรรมกระดูกขากรรไกรบนใบหน้า ซึ่งจะเป็นการผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน
โดยศัลยกรรมกระดูกขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน เป็นการรักษาผู้ป่วยที่ประสบปัญหาเรื่องของการสบฟัน ปัญหาคางยื่น หน้าเบี้ยว คางเบี้ยว ฟันล่างยื่นคร่อมฟันบน หรือ ฟันบนคร่อมฟันล่าง ที่จะส่งผลกระต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน ทั้งในการบดเคี้ยว การสบฟัน การออกเสียง และส่งผลต่อโครงสร้างของใบหน้า การรักษาด้วยวิธีดังกล่าว นอกจากช่วยด้านปัญหาในช่องปากแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาทางด้านบุคลิกภาพ และการปรับความสวยงามบนใบหน้า ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด จากศัลยแพทย์ผู้ชำนาญด้านการขยับเคลื่อนกระดูกขากรรไกร กับทีมทันตแพทย์สาขาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล ที่เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดขากรรไกร ร่วมกับการดูแลของทันตแพทย์จัดฟันที่มีประสบการณ์สูง
สำหรับการผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน มี 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม (Conventional approach) เป็นการจัดฟันก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณ18 เดือน จึงผ่าตัดขากรรไกร และจัดฟันต่อหลังผ่าตัดขากรรไกร ใช้เวลาอีกประมาณ 6 เดือน (จัดฟัน-ผ่าตัด-จัดฟัน) และแบบผ่าตัดก่อนจัดฟัน (Surgery-first approach) เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมสูง เพราะใช้ระยะเวลาในการรักษาที่เร็วกว่า และยังช่วยแก้ปัญหาความผิดปกติรุนแรงของใบหน้า ที่ไม่พึงประสงค์ของคนไข้ได้ด้วย
“มั่นใจว่าศูนย์ศัลยกรรมกระดูกขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน จะได้รับความสนใจจากลูกค้าที่มีปัญหาในช่องปาก ทั้งเรื่องการบดเคี้ยว ทั้งบุคลิกภาพ การออกเสียง รวมถึงความสวยงามของใบหน้า จึงเป็นอีกวิธีรักษาที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า เพราะเป็นปัญหาที่สามารถดูแลแก้ไขได้ และทาง BIDH มีความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความชำนาญ มีประสบการณ์สูง มีทั้งทีมทันตแพทย์สาขาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล และคุณหมอจัดฟันที่มีประสบการณ์ทำเคสแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ” นายพรศักดิ์ กล่าว
นายพรศักดิ์ กล่าวถึง แผนดำเนินธุรกิจของกลุ่ม D ในครึ่งปีหลัง 2566 มีแนวโน้มที่ดี และมั่นใจปี 2566 จะมีรายได้ที่แข็งแกร่งมากขึ้น เติบโตตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน ของ BIDH ในไตรมาสที่ 4 รวมถึงการปรับแผนเพิ่มลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีความเชื่อมั่นมาตรฐานการบริการ ของโรงพยาบาล และคลินิก ในเครือกลุ่ม D ที่มีจำนวนลูกค้าต่างชาติสูงขึ้นต่อเนื่อง จากกระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ข่าวเด่น