ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการวีซ่าฟรี 2 ประเทศ คือ จีนและคาซัคสถาน โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีนซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และด้วยข้อจำกัดด้านเส้นทางการบินที่ยังมีอยู่ รวมถึงจังหวะการทำตลาดที่อาจค่อนข้างกระชั้น ทำให้ผลบวกในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะค่อนข้างจำกัด โดยมองว่าในช่วงที่เหลือของปี 2566 นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยประมาณ 3.5-4.0 แสนคนต่อเดือน เทียบกับช่วง 8 เดือนแรกของปีที่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.8 แสนคนต่อเดือน แต่ผลบวกคงจะชัดเจนมากขึ้นในปี 2567 โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตุรษจีน ขณะที่ นักท่องเที่ยวจากคาซัคสถาน แม้ขนาดตลาดมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของจำนวนชาวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งหมด แต่เป็นตลาดใหม่และกำลังเติบโต มาตรการดังกล่าวจึงน่าจะช่วยให้ไทยเป็นทางเลือกในการท่องเที่ยวอันดับต้นๆ
แต่เนื่องด้วยที่ผ่านมา การฟื้นตัวของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยต่ำกว่าที่ประเมินในช่วงต้นปี 2566 โดยการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจของตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่ชะลอตัว และค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวยังสูง โดย ณ ปัจจุบัน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาแล้วคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 67% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในช่วงเดียวกันของปี 2562 และพบว่าตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทย อาทิ จีน สปป.ลาว และญี่ปุ่น สัดส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวยังกลับมาไม่ถึง 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ขณะที่ไปข้างหน้า การท่องเที่ยวยังมีประเด็นเฉพาะของตลาด อาทิ รัฐบาลอินเดียเพิ่มเพดานจัดเก็บภาษีการโอนเงินออกนอกประเทศจากอัตราจัดเก็บเดิมที่ 5% เป็น 20% ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจากอินเดียบางส่วน การแข่งขันในภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น และมาตรการเฉพาะของแต่ละประเทศในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งปี 2566 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 27.6 ล้านคน ขณะที่ในปี 2567 ชาวต่างชาติเที่ยวไทยน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 31 ล้านคน แต่หากเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวอย่างมีศักยภาพ และทางการมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ก็น่าจะส่งผลบวกต่อตลาดต่างชาติเที่ยวไทยมากขึ้นได้ในปีหน้า
นอกจากมาตรการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวแล้ว โจทย์ระยะยาวที่สำคัญของการท่องเที่ยวที่ต้องทำควบคู่กันไป อาทิ การเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปให้สูงด้วยการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง เช่น การท่องเที่ยวเชิงกีฬา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการรักษาพยาบาล และการท่องเที่ยวเชิงอาหารหรือ Gastronomy Tourism ซึ่งไทยเองก็มีจุดแข็งในด้านอาหารเป็นที่ยอมรับทั่วโลก เป็นต้น นอกจากนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ คงความเป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมๆ กับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เพื่อรองรับการแข่งขันในกาคการท่องเที่ยวที่สูงขึ้น
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่ : https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/Tourism-CIS3434-FB-2023-09-15.aspx
ข่าวเด่น