เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล.อินโนเวสท์วิเคราะห์ "แกว่งในกรอบ รอประชุมเฟด"


SET ยังเป็นสัญญาณลบ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1515 จุด ซึ่งใช้เป็นกรอบล่างในวันนี้ ขณะที่การฟื้นตัวถูกจำกัด โดยมีกรอบบนบริเวณแนวต้าน 1530 จุด ขณะที่นักลงทุนในตลาด รอติดตามประเด็นสำคัญ สำหรับผลการประชุมเฟดในคืนนี้ ทำให้มองดัชนีมีแนวโน้มแกว่งระหว่างกรอบ 1515-1530 จุด

ประเด็นสำคัญ
 
• OECD ประเมิน ศก. โลกมีทิศทางชะลอตัวลงจาก ดบ. ที่สูง และการฟื้นตัวของ ศก. จีนที่ล่าช้า โดยประเมินปี 2567 GDP โลกจะเติบโต 2.7%YoY ลดลงจากปี 2566 ที่คาดเติบโต 3.0%YoY
 
• สหรัฐรายงานตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้าน ส.ค. ปรับตัวลง 11.3% สู่ระดับ 1.283 ล้านยูนิต ต่ำสุดนับตั้งแต่ มิ.ย. 63 และต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของ ดบ. เงินกู้จำนอง
 
• รัฐบาลรัสเซียพิจารณาเก็บภาษีส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันทุกประเภทที่ 250 ดอลลาร์/ตัน ซึ่งสูงกว่าค่าธรรมเนียมปัจจุบันอย่างมาก ตั้งแต่ 1 ต.ค. 66-มิ.ย. 67 เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิง
 
• นายกฯ หารือกลุ่ม BlackRock ศึกษาแนวทางลงทุนไทย สนับสนุนธุรกิจ Clean Energy เพื่อขยายฐานการลงทุนและการผลิต ทั้งยังสนใจลงทุนใน Sustainability Linked Bond ที่จะออกโดย รบ. ไทย
 
• กรมการค้าภายในระบุผู้ผลิตสินค้า-บริการ เตรียมลดราคาหลังต้นทุนพลังงานลดจากมาตรการรัฐ เตรียมดึงร้านค้าธงฟ้า 1 แสนแห่งทั่วไทยร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
 
• คลังเตรียมเสนอพักหนี้ธุรกิจ SMEs ที่ค้างชำระหนี้เกินกว่า 90 วัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ของ ธปท. เป็นเวลา 1 ปี โดยมีทั้งหมด 3 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ราว 3 แสนลบ.
 
• ก. พลังงานเตรียมศึกษาข้อมูลปรับโครงสร้างราคาพลังงานระยะยาวให้ราคาพลังงานเหมาะสม ส่วนการเปิดนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรีจะเปิดโอกาสให้บางกลุ่ม เช่น ภาคขนส่ง เพื่อช่วยลดต้นทุน

กลยุทธ์การลงทุน
 
มอง SET จะยังเคลื่อนไหวในกรอบ 1540-1580 จุด หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน โดยในประเทศรอติดตามการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล ขณะที่ต่างประเทศอยู่ระหว่างจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ นำโดย FED (21 ก.ย.) BoE (21 ก.ย.) และ BoJ (22 ก.ย.) ทั้งนี้ InnovestX คาด FED จะมีมติคงดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ตามตลาดคาด ขณะที่ BoE และ BoJ จะยังดำเนินการใช้นโยบายการเงินตึงตัวต่อไป ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”

ล็อคเป้าลงทุน
 
Weekly Portfolio : ภาพรวมบรรยากาศลงทุนยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ และอยู่ระหว่างรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ อาทิ FED, BoE, BoJ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
 
1) หุ้นที่คาดได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (ลดค่าไฟและราคาน้ำมันดีเซล พักหนี้เกษตรกรฯ ยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน) อีกทั้ง 2H66 คาดกำไรจะเติบโต YoY หรือกำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เลือก CPALL CRC OSP HTC AOT ERW KCE HANA
 
2) หุ้น Top Picks กลยุทธ์การลงทุน 4Q66 เลือก AOT BCH CRC KCE KTB  
 
3) หุ้นเก็งกำไรจากกำลังซื้อตะวันออกกลางที่ดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น (ธีมปิโตรดอลลาร์) เลือก AH BH PTTEP BCP
 
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง  ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)

DAILY FOCUS
 
TOP ค่าการกลั่น 3Q66TD ฟื้นตัวแข็งแกร่ง หนุนโดยส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน ดีเซล และเบนซิน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ TOP จะช่วยผลักดันผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น อีกทั้งราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นยังหนุนผลประกอบการของกลุ่มได้ผ่านกำไรจากสต๊อกน้ำมัน  
 
BBL 3Q66 และปี 2566 คาดจะรายงานกำไรเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจาก credit cost ที่ลดลงมากสุด NIM ที่กว้างขึ้นพร้อมกับแนวโน้ม upside และสินเชื่อที่เติบโตอย่างยั่งยืน
 
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 20 ก.ย. 2566 เวลา : 10:09:29
27-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 27, 2024, 11:33 pm