มาตรการ EU-CBAM ที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านใน ต.ค.นี้ ก่อนเก็บจริงในปี 2569 เริ่มมีรายละเอียดออกมามากขึ้น ผู้ส่งออกเหล็กไทยไป EU คงต้องเริ่มเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อรายงาน รวมถึงการนำต้นทุนค่า CBAM certificate ไปชั่งน้ำหนักความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อปรับกระบวนการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายก็อาจมีทางเลือกในการปรับตัวแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสัดส่วนการพึ่งพิงตลาด โครงสร้างการผลิต และความสามารถในการปรับตัว และไปข้างหน้า มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่เอื้อประโยชน์ในการปรับตัว นับว่ามีความจำเป็น
มาตรการ EU-CBAM ที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน ในเดือน ต.ค. 2566 นี้ มีรายละเอียดเปิดเผยออกมามากขึ้น แม้จะยังคงต้องรอข้อสรุปในบางประเด็น แต่ก็นับว่าสิ่งที่ผู้ส่งออกเหล็กไทยต้องดำเนินการเพื่อแจ้งข้อมูลไปยังผู้นำเข้าฝั่ง EU จะมีความซับซ้อนไม่น้อย โดยเฉพาะข้อมูลปริมาณการปล่อยคาร์บอนที่มีผลต่อการคำนวณค่า CBAM certificate ผู้ประกอบการที่เคยมีการขอรับรองเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Product: CFP) แล้วคงสามารถใช้ประโยชน์จากบางข้อมูลในการคิดคำนวณ CBAM certificate ได้ ขณะที่ ผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยมีการเก็บข้อมูล Carbon footprint มาก่อนเลย โดยเฉพาะรายกลางและรายเล็ก (SMEs) คงจะต้องใช้ค่ากลาง (Default values) ของ EU ไปก่อน ในระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านไปจนถึงการเก็บจริงในปี 2569 ผู้ส่งออกเหล็กไทยที่ทราบต้นทุน CBAM certificate แล้ว บางส่วนอาจพิจารณานำต้นทุนดังกล่าวไปชั่งน้ำหนักความคุ้มค่าของการลงทุนในทางเลือกต่างๆ เพื่อปรับกระบวนการผลิตที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงว่าควรดำเนินการอย่างไรในขั้นต่อไป
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในภาพรวม อุตสาหกรรมเหล็กส่งออกของไทยไปยัง EU จะมีต้นทุนค่า CBAM certificate ณ วันนี้ ในเบื้องต้นอย่างน้อยราว 1.5%-1.7% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเหล็กรวมจากไทยไปยัง EU ตามรายการ CBAM หรือคิดเป็นมูลค่าในกรอบราว 167-193 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้ส่งออกเหล็กไทยไป EU อาจต้องจ่ายค่า CBAM certificate ที่ราว 1,338-1,545 บาท/ตันเหล็ก อย่างไรก็ดี ตัวเลขข้างต้นเป็นการประเมินเพื่อให้เห็นภาพขอบเขตผลกระทบของอุตสาหกรรมเหล็กส่งออกของไทยไป EU จากมาตรการนี้เท่านั้น แต่ค่า CBAM certificate ที่จะต้องจ่ายจริงตั้งแต่ปี 2569 อาจยังขึ้นกับหลายตัวแปร ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายคงมีต้นทุนไม่เท่ากัน
ท่ามกลางปัจจัยเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ผู้ส่งออกเหล็กไทยไป EU คงต้องพิจารณาจังหวะเวลาและเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างการลงทุนปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทางเลือกที่มี และต้นทุนค่า CBAM certificate ที่ก็มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอีก และไปข้างหน้า นอกจากภาคธุรกิจจะต้องเริ่มปรับตัวแล้ว แรงสนับสนุนจากภาครัฐในการผลักดัน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำระบบกลไกราคาคาร์บอน (Carbon pricing) ให้ได้มาตรฐานสากล การใช้มาตรการภาษีคาร์บอน และการจัดทำค่ากลางเพื่อใช้เป็น Benchmark ของไทยเอง ก็นับว่ามีความจำเป็น เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนค่า CBAM certificate และเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านของภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero ของประเทศและทั่วโลก
ข่าวเด่น