เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special report : ไม่ง้อสหรัฐฯ "Huawei" ผลิตไมโครชิปเองได้สำเร็จ ตอกย้ำ "จีน" ก้าวขึ้นเป็นผู้นำเทคฯของโลก


จากข้อพิพาทระหว่าง สหรัฐอเมริกา - จีน ที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ตามที่ทั่วโลกได้รับรู้ ทำให้ 2 ประเทศมหาอำนาจนี้เดินเกมโจมตีกันไปมา โดยเฉพาะการเปิดศึกสงครามทางเทคโนโลยี หรือ Tech War ที่สหรัฐ ตัดจีนออกจากห่วงโซ่เทคโนโลยีด้วยการจำกัดการค้าขายกับบริษัทชั้นนำของจีนอย่าง Huawei ด้วยการไม่ขายชิปคอมพิวเตอร์ (เซมิคอนดักเตอร์) ให้กับจีน เพื่อต่อต้านไม่ให้จีนได้เติบโตในอุตสาหกรรมไฮเทคและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะเอาไปใช้งานทางการทหาร  จากการเข้าซื้อกิจการของกองทัพ, หน่วยข่าวกรอง และหน่วยความมั่นคงของจีน ตามข้ออ้างกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

นอกจากจะไม่ขายชิปให้แล้ว ก็ยังแบนชิ้นส่วนประกอบของอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆกับจีนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการขัดขาจีนอย่างรุนแรง เพราะจีนนั้นกำลังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลก ด้วยการเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเต็มกำลัง เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ทันสมัย และเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกภายในปี 2035 ให้ได้ ฉะนั้นการสกัดดาวรุ่งดังกล่าว จึงสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์เทคโนโลยีของจีน โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนของแบรนด์ Huawei อย่างมาก ที่ไม่สามารถผลิตสมาร์ทโฟนเทคโนโลยีใหม่ๆออกสู่ตลาดโลกได้ เพราะไม่มีชิปที่เป็นหัวใจของสมาร์ทโฟน ขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าถึงการใช้งานระบบปฏิบัติการ Android จึงไม่สามารถใช้ Google Mobile Service (GMS) และระบบ 5G ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าตัดช่องทางของ Huawei ทุกช่องทางเพื่อให้จีนเป็นฝ่ายแพ้ในสมรภูมิเทคโนโลยีนี้ 

แต่ในสุดท้ายแล้ว สหรัฐก็ไม่สามารถสกัดจีนได้ เพราะล่าสุด Huawei ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่น Mate 60 Pro ออกสู่ตลาดเมื่อปลายเดือนส.ค.ผ่านมา ด้วยการใช้ชิปที่ผลิตเองในจีนของบริษัท SMIC ที่ชื่อว่า Kirin 9000s ขนาด 7 นาโนเมตร รวมถึงชิ้นส่วนของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ทั้งหมด Huawei ก็ยังเคลมว่ามาจากจีนทั้งหมดอีกด้วย มาพร้อมกับคุณสมบัติที่สามารถโทรผ่านดาว เทียมได้ และมีพลังการดาวน์โหลดข้อมูลเร็วกว่าสมาร์ทโฟน 5G ตัวท็อปหลายๆ รุ่น เรียกได้ว่าเป็นการตบหน้าสหรัฐฉาดใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะ Huawei Mate 60 Pro เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีได้ว่าจีนไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐแล้ว ฉะนั้นการต่อต้านจีนด้วยการคว่ำบาตรแบบนี้จะไม่ได้ ผลอีกต่อไปแล้ว

เมื่อจีนผลิตชิปเองได้ ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งจีนได้แล้วต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ชิป หรือ เซมิคอนดัก เตอร์ ถือว่าเป็นสมองและเส้นประสาทของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง Internet of Things รถยนต์ไฟฟ้าเครื่องใช้ต่างๆในอุตสาหกรรมไฮเทค รวมถึงสมาร์ทโฟน ล้วนจำเป็นต้องใช้ชิปทั้งหมด ซึ่งในอุตสาหกรรมชิปรายใหญ่ของโลกคือ TSMC จากทางไต้หวัน และฝั่งสหรัฐอย่าง Intel, AMD, Qualcomm (Nvidia) และการจะผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาชิ้นหนึ่งได้ จะต้องอาศัยชิปหลายตัว ซึ่งชิปที่ผลิตในแต่ละบริษัทก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปตามความถนัดของบริษัทนั้นๆ ผู้ส่งออกชิปก็จำเป็นต้องนำเข้าชิปเข้ามาเช่นกัน รวมถึงการจะผลิตชิปเหล่านี้ขึ้นมา จำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ในการออกแบบแผงวงจรในชิปเซต ซึ่งในอุตสาหกรรมชิป ล้วนแต่ใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัทในสหรัฐทั้งสิ้น การพึ่งพากันในลักษณะนี้ ทำให้เมื่อสหรัฐประกาศ Tech War กับจีนขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 2019 ทำให้จีนไม่สามารถซื้อชิปจากที่ไหนได้เลย และก็ยังไม่สามารถซื้อชิปจาก ผู้ผลิตรายยักษ์ใหญ่ TSMC ของไต้หวันได้ เพราะกฎระเบียบของสหรัฐฯ สั่งห้ามบริษัทในประเทศและชาติพันธมิตรขายชิปและเครื่องจักรอุปกรณ์ผลิตชิปให้แก่จีน

การตัดจีนออกจาก Supply Chain นั้น ก็เพื่อผลลัพธ์ที่คาดการณ์ไว้ว่าจะกำราบจีนให้อยู่หมัดจากข้อพิพาทที่มีอยู่ในตอนนี้ ด้วยการจี้จุดอ่อนของจีนด้วยเรื่องของชิป เพราะหากไม่มีสมองกลนี้แล้ว Productivity นวัตกรรม และเทคโนโลยีต่างๆจะค่อยๆล้าหลังลงไป เพราะไม่สามารถเกิดกระบวนการการทดลองนวัตกรรมแห่งอนาคตเหล่านั้น แต่ใครจะคิดว่า จีนนั้นกลับซุ่มพัฒนาชิปในประเทศด้วยตนเองด้วยการที่รัฐบาลจีน มีมาตรการอัดฉีดงบประมาณกว่า 1 ล้านล้านหยวน เพื่อเป็นการสนับสนุนการพัฒนาชิปภายในประเทศในช่วง ธ.ค.ปีที่แล้ว จากนั้นก็มีข่าวลืออกมาว่า HUAWEI เข้าซื้อและสร้างโรงงานผลิตชิปหลายแห่งในจีนถึง 2 แห่ง รวมถึงกำลังสร้างโรงงานขึ้นอีก 3 แห่งทั่วจีน ซึ่งสุดท้ายแล้วข่าวก็ออกมาพร้อมกับการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ Huawei อย่าง Mate 60 Pro ที่ใช้ชิปขนาดเล็ก 7 นาโนเมตรจากบริษัทผลิตชิป Semiconductor Manufacturing International Corp (SMIC) สัญชาติจีน และมีข่าวออกมาในโซเชียลอีกด้วยว่า ชิ้นส่วนทุกอย่างของโทรศัพท์รุ่นนี้ ผลิตในจีนทั้งหมด

การที่จีนสามารถผลิตชิปออกมาได้เอง เท่ากับว่าจีนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐในเรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไป แม้ตอนนี้ชิป Kirin 9000s ที่มีขนาดเล็ก 7 นาโนเมตร จะยังไม่สามารถสู้ TSMC ที่ล่าสุด สามารถผลิตชิปเซตขนาด 3 นาโนเมตรได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ใน iPhone 15 Pro ของชิป A17 Bionic ที่เป็นรุ่นคู่แข่งของ Huawei รุ่นล่าสุดดังกล่าว แต่การที่จีนได้พัฒนาจุดอ่อนจนสามารถรอดจากคว่ำบาตรครั้งนี้ ด้วยการมุ่งสร้าง Ecosystem เทคโนโลยีของจีน ซึ่งนี้เป็นเพียงการเดินหมากแรกของจีนเท่านั้น หากในระยะต่อไป จีนสามารถพัฒนาตีตัวขึ้นมาเทียบเท่ากับทางฝั่งตะวันตกได้สำเร็จ ประเทศมหา อำนาจที่แข็งแกร่งขึ้นนี้ ก็คงจะสามารถเดินหน้านโยบายของตัวเองโดยไม่ต้องเกรงกลัวสหรัฐอีกแล้ว
 

LastUpdate 25/09/2566 09:31:05 โดย : Admin
27-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 27, 2024, 9:33 pm