SET กลับมาเผชิญแรงขายจากทิศทาง fund flow ที่ยังไหลออก ลดทอนสัญญาณบวกหลังฟื้นตัวมาได้ก่อนหน้านี้ ด้านกรอบล่างจุดติดตามอยู่ที่ 1500 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1490 จุด ด้านกรอบบนอยู่ที่ 1515 และ 1523 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะกลับมาเป็นสัญญาณที่ดี
ประเด็นสำคัญ
• Reuters ระบุ นลท. เทขายหุ้น China Evergrande หลังไม่สามารถออกหุ้นกู้ใหม่ได้ อีกทั้งแผนปรับโครงสร้างหนี้ไม่คืบหน้า
• รัสเซียยกเลิกคำสั่งระงับส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเรือ และน้ำมันดีเซลที่มีสารซัลเฟอร์สูง แต่ยังคงระงับส่งออกน้ำมันเบนซินและดีเซลคุณภาพสูงทุก ปท. ยกเว้นอดีตสมาชิกสหภาพโซเวียต
• รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมออกแผนกระตุ้น ศก. ฉบับใหม่ มุ่งลดภาระ ปชช. จากภาวะค่าครองชีพแพงและเตรียมปรับอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้น
• สนพ. ระบุราคาน้ำมันโลกผันผวนจากอุปทานโลกตึงตัว หลังซาอุฯ-รัสเซียขยายเวลาลดกำลังผลิต ศก. EU ชะลอตัว อีกทั้งเงินบาทอ่อนค่ากระทบต้นทุนน้ำมัน ส่งผลค่าการตลาดอยู่ที่ 2.28 บ./ลิตร
• สสว. รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ส.ค.66 ลดลง MoM จากกำลังซื้อชะลอลง และต้นทุนผู้ประกอบการอยู่ในระดับสูง
• ททท. คาด นทท. จีนปีนี้ที่ 5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 3 แสนล้าน ขณะที่สมาคมโรงแรมไทย ระบุยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น 10-20% ส่วน ATTA คาดกรุ๊ปทัวร์จีนเดินทางเข้าไทย พ.ย. ด้าน CAAC คาดชาวจีนเดินทางกว่า 21 ล้านคนช่วงโกลเด้นวีค
• IDC บริษัทวิจัยข้อมูลตลาดระดับโลกระบุตัวเลขการใช้จ่ายด้าน AI ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะอยู่ที่ 78.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2570 ทางด้านไทยคาดลงทุน big data 5.9 หมื่นลบ. ภายในปี 2568
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ตั้งแต่เข้าสู่เดือน ก.ย. SET อยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากตลาดกังวลการก่อหนี้และความไม่ชัดเจนในนโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล อีกทั้งเงินบาทยังอ่อนค่าและ Fund Flow ไหลออก แต่อย่างไรก็ดี มองตลาดกำลังก้าวสู่สัปดาห์สุดท้ายของ ก.ย. (สิ้นสุด 3Q66) ซึ่งคาดจะเป็นจุดต่ำสุด และจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นใน ต.ค. จากคาดหวังมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงมองเป็น “โอกาสซื้อลงทุน”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มองตลาดก้าวสู่สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ย. (สิ้นสุด 3Q66) ซึ่งคาดจะเป็นจุดต่ำสุด และจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นใน ต.ค. จึงมองเป็น “โอกาสซื้อลงทุน” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไร โดยคาดราคาหุ้นจะรีบาวน์ได้หลังปรับลงแรงกว่า SET และ Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก CPALL HMPRO CPN OSP BDMS MINT
2) หุ้นเก็งกำไรในธีมปิโตรดอลลาร์ โดยได้อานิสงส์จากกำลังซื้อของตลาดตะวันออกกลางดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น 10%QoQ ใน 3Q66 เลือก BH (ผู้ป่วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น) PTTEP (ราคาน้ำมันขึ้น) BCP (ราคาน้ำมันและกำไรสต็อกดีขึ้น)
3) หุ้นซื้อลงทุน โดยคาดผลการดำเนินงาน 3Q66 จะมีเติบโตดี และยังมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องใน 4Q66 เลือก BCH HANA KCE AOT ERW
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
DAILY FOCUS
BBL มองเป็นธนาคารที่กำไรจะเติบโตแข็งแกร่งที่สุด เพราะ NIM จะขยายตัวมากที่สุด เนื่องจากได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำ อีกทั้ง valuation น่าสนใจ
CPALL 3Q66 คาดกำไรทรงตัว/เพิ่มขึ้น QoQ (สวนทางค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ลดลง QoQ) และเติบโต YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่โตต่อเนื่องในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ อีกทั้งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจาก CPAXT จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จ
ข่าวเด่น