SET ยังเป็นสัญญาณลบไหลลงต่อ และยังไม่เกิดจุดกลับตัว เพียงแต่ฟื้นสลับในบางช่วงตามภาวะ oversold ทางเทคนิค ด้านแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1475 และจุดต่ำเดิมบริเวณ 1462 จุด ส่วนการฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1496 จุด และจุดติดตามบริเวณ 1508 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะกลับมาเป็นสัญญาณบวก
ประเด็นสำคัญ
• รมว.แรงงานระบุขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นของขวัญปีใหม่ แต่ไม่ยืนยัน 400 บ. โดยต้องหารือกับ คกก.ไตรภาคี บนพื้นฐานเงินเฟ้อและค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดเป็นหลัก คาดได้ข้อสรุปสิ้นเดือน พ.ย. นี้
• บอร์ด รฟม. อนุมัติปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง 1 ธ.ค. นี้ เชื่อมต่อระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงรับนโยบาย 20 บ. ตลอดสาย คาดสูญเสียรายได้ 190 ลบ./ปี เตรียมเจรจา BEM เข้าร่วม
• BBL ปรับขึ้น ดบ. เงินฝาก-เงินกู้ มีผลตั้งแต่วันนี้ โดยคาด ศก. ไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพต่อเนื่องในระยะยาว
• สหรัฐรายงาน GDP 2Q66 (ครั้งสุดท้าย) ที่ 2.1% ทรงตัวจากครั้งที่ 2 แต่ต่ำกว่าครั้งที่ 1 ที่ 2.4% ขณะที่จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นที่ 2.4 แสนราย ต่ำกว่าคาด
• CPI เยอรมนี ก.ย. +4.3%YoY ต่ำกว่าคาด 4.5% จาก 6.4% ใน ส.ค.
• จีนระบุจะไม่มีโควตาพิเศษสำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันสะอาดและการนำเข้าน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้การส่งออกเชื้อเพลิงของจีนมีแนวโน้มลดลงใน 4Q66
• การประท้วงของสหภาพแรงงานยานยนต์สหรัฐในดีทรอยต์มีสัญญาณประนีประนอมมากขึ้น โดยเรียกร้องขอขึ้นค่าจ้างอย่างน้อย 30% ต่ำกว่าการปรับขึ้นประมาณ 40% ที่เสนอในตอนแรก
• Nestle ระบุ ปริมาณการขายอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลกลดลงในปีนี้ เน้นย้ำถึงความท้าทายที่ภาคอาหารและเครื่องดื่มกำลังเผชิญ
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ตั้งแต่เข้าสู่เดือน ก.ย. SET อยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากตลาดกังวลการก่อหนี้และความไม่ชัดเจนในนโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล อีกทั้งเงินบาทยังอ่อนค่าและ Fund Flow ไหลออก แต่อย่างไรก็ดี มองตลาดกำลังก้าวสู่สัปดาห์สุดท้ายของ ก.ย. (สิ้นสุด 3Q66) ซึ่งคาดจะเป็นจุดต่ำสุด และจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นใน ต.ค. จากคาดหวังมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงมองเป็น “โอกาสซื้อลงทุน”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มองตลาดก้าวสู่สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ย. (สิ้นสุด 3Q66) ซึ่งคาดจะเป็นจุดต่ำสุด และจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นใน ต.ค. จึงมองเป็น “โอกาสซื้อลงทุน” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไร โดยคาดราคาหุ้นจะรีบาวด์ได้หลังปรับลงแรงกว่า SET และ Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก CPALL HMPRO CPN BDMS MINT
2) หุ้นเก็งกำไรในธีมปิโตรดอลลาร์ โดยได้อานิสงส์จากกำลังซื้อของตลาดตะวันออกกลางดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น 10%QoQ ใน 3Q66 เลือก BH (ผู้ป่วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น) PTTEP (ราคาน้ำมันขึ้น) BCP (ราคาน้ำมันและกำไรสต็อกดีขึ้น)
3) หุ้นซื้อลงทุน โดยคาดผลการดำเนินงาน 3Q66 จะมีเติบโตดี และยังมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องใน 4Q66 เลือก BCH HANA KCE AOT ERW
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
DAILY FOCUS
BBL คาดกำไรโตแข็งแกร่งสุดในกลุ่มเพราะ NIM จะขยายตัวมากที่สุด หลังได้ประโยชน์จากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุดขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 25 bps ขณะที่ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 20-25 bps และคงดอกเบี้ยเงินฝากออกทรัพย์ ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมี Upside 8 bps
HANA 2H66 คาดผลการดำเนินงานจะปรับขึ้น HoH ตามการฟื้นตัวของผลิตภัณฑ์ IC หลังเป็น High season จากแนวโน้มออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของลูกค้า Smartphone รวมถึงลูกค้า RFID ที่มีการ implement ใช้แทน Barcode สำหรับธุรกิจค้าปลีก
ข่าวเด่น