จากการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ของบริษัทจดทะเบียน 795 บริษัท ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 19.26 ล้านล้านบาท หรือ 99.40% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด พบว่า ·ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนแต่ละประเภท (นักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันในประเทศ นักลงทุนที่เป็นนิติบุคคลในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศ) ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30.50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม ขณะที่นักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นอยู่ที่ 27.70% ตามมาด้วยนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ 21.99% และนิติบุคคลอื่นๆ ที่ 19.56% · เมื่อพิจารณาตามสัญชาติของนักลงทุน พบว่า 69.5% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เป็นการถือครองหุ้นโดยนักลงทุนไทย ขณะที่อีก 30.5% ถือครองหุ้นโดยนักลงทุนต่างประเทศ · เมื่อพิจารณาจากประเภทหลักทรัพย์ตามสิทธิประโยชน์ (local shares / foreign shares / NVDR) พบว่า 69.4% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เป็น local shares สอดคล้องกับสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนไทย และที่เหลือประมาณ 30.6% เป็น foreign shares และ NVDR สอดคล้องกับสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ หมายถึง นักลงทุนถือครองหุ้นตรงตามสิทธิ ทำให้นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ครบถ้วน ทั้งสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (voting rights) และสิทธิประโยชน์ทางการเงิน (financial benefits)
ในรายงานฉบับนี้เป็นการศึกษาโครงสร้างผู้ถือหุ้นในตลาดหุ้นไทย ปี 25661 จาก 1) ข้อมูลการปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้น 2) ข้อมูล Corporate Actions 3) ข้อมูลการระดมทุนผ่านตลาดรอง ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 795 บริษัท2 โดยใช้ข้อมูลล่าสุดถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 19.26 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 99.40% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด
ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนแต่ละประเภท (นักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันในประเทศ นักลงทุนที่เป็นนิติบุคคลในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศ) ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 1 ใน 4 ของตลาด
ในการศึกษานี้ จำแนกมูลค่าการถือครองหุ้นในตลาดแห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) ตามประเภทนักลงทุน 4 ประเภท ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ได้แก่ 1) นักลงทุนต่างประเทศ 2) นักลงทุนสถาบันในประเทศ 3) บริษัทหลักทรัพย์และ 4) นักลงทุนภายในประเทศ (ภาพที่ 1) ซึ่งในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์เป็นตัวกลางในการซื้อขายหลักทรัพย์ มีการถือครองหุ้นน้อย (เฉพาะพอร์ตการถือครองหุ้นของบริษัทเท่านั้น) ขณะที่ “นักลงทุนภายในประเทศ” สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักลงทุนรายย่อย และกลุ่มนักลงทุนที่เป็นนิติบุคคลอื่นๆ
เมื่อพิจารณาสัดส่วนมูลค่าการถือครองตามตามประเภทนักลงทุน พบว่า มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนแต่ละประเภท (นักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันในประเทศ นักลงทุนที่เป็นนิติบุคคลในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศ) พบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30.50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดโดยรวม (ภาพที่ 2) โดยนักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นอยู่ที่ 27.70% ตามมาด้วยนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ 21.99% และนิติบุคคลอื่นๆ ที่ 19.56%
69.39% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เป็น local shares สอดคล้องกับสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนไทยและที่เหลือประมาณ 30.61% เป็น foreign shares และ NVDR ซึ่งสอดคล้องกับสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น (shareholders’benefits)
จากที่กล่าวมาข้างต้น พบว่า นักลงทุนไทยมีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม ประมาณ 69.50% ของมูลค่ารวมหลักทรัพย์ตามราคาตลาด และนักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม ประมาณ 30.50% ของมูลค่ารวมหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ภาพที่ 3)
เมื่อพิจารณาตามประเภทหลักทรัพย์ตามสิทธิประโยชน์ (local shares / foreign shares / NVDR) พบว่า 69.39 % ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เป็น local shares และที่เหลืออีกประมาณ 30.61% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เป็น foreign shares 24.55% และ NVDR 6.06% (ภาพที่ 4) สอดคล้องกับสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หมายถึง นักลงทุนถือครองหลักทรัพย์ตรงตามสิทธิประโยชน์ ส่งผลให้นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ครบถ้วน ทั้งสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (voting rights) และสิทธิประโยชน์ทางการเงิน (financial benefits)
โดยสรุปจากการศึกษาโครงสร้างผู้ถือหุ้นในตลาดหุ้นไทย ปี 2566 พบว่า ในตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนแต่ละประเภทในสัดส่วนใกล้เคียงกัน และเมื่อพิจารณาสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้น พบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้น และพบว่า โดยรวมแล้วนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันตามประเภทหลักทรัพย์ สังเกตได้จากการเลือกถือครองหุ้นตรงตามสิทธิ ทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้นครบถ้วน
ข่าวเด่น